|
|
กรณีศึกษา - case study คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๑๕/๒๕๕๓ (กรณียุบพรรคประชาธิปัตย์) (หน้าที่ 1) 16 มกราคม 2554 21:15 น.
|
บทนำ
ในทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้อ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ กรณึการยุบพรรคประชาธิปัตย์(การใช้จ่ายเงิน กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ๒๘ ล้านบาทเศษ ) ในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยศาลรัฐธรรมนูญ ได้วินิจฉัยให้ ยกคำร้อง ของนายทะเบียนพรรคการเมือง โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญมิได้วินิจฉัยในประเด็นสาระของเรื่อง ว่า พรรคประชาชาธิปัตย์ใด้นำ เงินอุดหนุนพรรคการเมือง ไปใช้โดยผิดกฎหมายหรือไม่ ก็ปรากฎว่า ได้มีปฎิกริยาของสังคมไทยที่ไม่เห็นด้วยกับศาลรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นมากมาย ทั้งในวงการวิชาการ สื่อมวลชน พรรคการเมืองที่มีส่วนได้เสียรวมทั้งได้มีการเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมือง ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ และนักการเมืองบางคนได้มีความเห็นไปไกลถึงกับว่าให้ยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญ ให้เหลือเพียงศาลยุติธรรมเพียงศาลเดียว ทั้งนี้โดยไม่นับรวม กรรมการ บางคนในคณะกรรมการการเลือกตั้งเอง ก็ยังมีความสงสัยในมาตรฐานการวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นเสียงข้างมากในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ผู้เขียนคิดว่า ผู้เขียนน่าจะนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้(การร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์)นี้ มาวิเคราะห์เป็น กรณีศึกษา - case study เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของตุลาการผู้ที่ทำคำวินิจฉัย ; อันที่จริง ในอดีตผู้เขียนได้เคยวิเคราะห์คำพิพากษาของศาลในลักษณะของกรณึศึกษามาบ้าง แต่ก็นาน ๆ ครั้ง และเป็นเวลานานมาแล้วที่ผู้เขียนไม่ได้ทำ กรณีศึกษา - case studyในคำพิพากษาของศาล
[ หมายเหตุ เท่าที่จำได้ คือ การเขียนวิเคราะห์คำพิพากษาของ ศาลยุติธรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๖ ซึ่งเป็น คำพิพากษาชุด จำนวนหลายฉบับ เริ่มต้นด้วยของคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๙๑๒ / ๒๕๓๖ ที่วินิจฉัยให้ คืนทรัพย์สินที่นักการเมืองได้มาโดยมิชอบที่ไม่สามารถพิสูจน์ ที่มา ได้และถูกยึดให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตามความเห็นของ คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) ; คำพิพากษาดังกล่าวเป็นที่น่าสนใจ เพราะเป็นคำพิพากษาที่เป็นการวินิจฉัยโดยมติของ ที่ประชุมใหญ่ ที่มีจำนวนผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งหมดในขณะนั้นร่วมกันเป็น องค์คณะ ประมาณเกือบ ๘๐ท่าน ( ดูเหมือนจะเป็น ๗๖ ท่าน) ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่า เป็น องค์คณะ(วินิจฉัยคดี) ที่มีจำนวนมากที่สุดในโลกและคำพิพากษานี้เขียนโดยตุลาการจำนวน ๓ ท่าน (นายเกียรติจาตนิลพันธุ์ / นายสกล เหมือนพะวงศ์ / นายอุระ หวังอ้อมกลาง) ; ผู้เขียนได้ทำกรณีศึกษาเรื่องนี้ ในการสัมมนาของคณะนิติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้าใจว่า ใน ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ นั้นเอง แต่ผู้เขียนไม่ได้มีเผยแพร่ให้มากไปกว่านั้น เนื่องจากเห็นว่า ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์กาลเวลาในขณะนั้น (ซึ่งเป็นเวลาที่ กฎหมายมหาชนยังไม่เป็นที่รับรู้กันทั่วไป) และก็เป็นที่น่าเสียดายที่บทความวิเคราะห์เรื่องนี้ เมื่อผู้เขียนจะนำมาเผยแพร่ในระยะหลัง ผู้เขียนก็หาต้นฉบับไม่พบ และได้ขอให้อาจารย์ในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์บางท่านช่วยหาให้ แต่ก็หาไม่พบ ]
แม้ในระยะหลัง ๆ นี้ จะได้มี คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคำวินิจฉัยของศาลปกครองอยู่หลายเรื่อง ที่น่าจะนำมาศึกษาวิเคราะห์ เป็นกรณีศึกษา - case study ได้ แต่ผู้เขียนก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างมาเขียน ; ผู้เขียนให้ความสำคัญแก่การ การปฏิรูปการเมือง (การเขียนรัฐธรรมนูญ กำหนด form of government) มากกว่าจะทำ case studyในคำพิพากษาของศาล (ซึ่งต้องทำเป็นเรื่อง ๆ เป็นการเฉพาะคดี) เพราะผู้เขียนเห็นว่า การปฏิรูปการเมือง เป็น วิธีการ ที่ใช้แก้ปัญหาการเมืองของประเทศในปัจจุบันได้โดยตรง และเป็นเรื่องที่สำคัญเร่งด่วน มากกว่าการวิเคราะห์ พฤติกรรม ของผู้พิพากษาหรือตุลาการเป็นรายคดี ; ดังนั้น บทความของผู้เขียนในระยะปัจจุบัน จึงจะเป็นบทความที่มุ่งหมายจะนำพื้นฐานความรู้ทางวิชาการ ที่เกี่ยวกับ วิวัฒนาการของ form of government ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศที่พัฒนาแล้ว ในช่วงระยะเวลา ๒๐๐ ปีที่ผ่านมา มาให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้
แต่ในครั้งนี้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (กรณีร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์)เรื่องนี้ ดูจะเป็นเรื่องสำคัญ ที่เป็นที่สนใจและก่อให้เกิดปฏิกริยาของผู้ที่เกี่ยวข้องและนักวิชาการจำนวนมาก ทำให้ผู้เขียนคิดว่า ผู้เขียนน่าจะต้องหาเวลามาเขียนเรืองนี้เป็น กรณีศึกษา - case study ขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้นำไปพิจารณาดู
การทำกรณีศึกษา- case study ในคำพิพากษา(หรือคำวินิจฉัย)ของศาล ได้ประโยชน์อะไร ; ท่านผู้อ่านคงทราบอยู่แล้วว่า ประเด็นที่ผู้เขียนสนใจและเขียนบทความไว้หลายบทความ ก็เพื่อตรวจสอบดูว่า มาตรฐานความรู้และความเข้าใจในวิธีคิดทางกฎหมาย(มหาชน) ของวงการวิชาการกฎหมายของเรา จะมีความแตกต่าง(ต่ำกว่า)ประเทศที่พัฒนาแล้ว มากน้อยเพียงใด ; การนำคำพิพากษาของศาล มาเป็น กรณีศึกษา - case study ก็เช่นเดียวกัน คือ มีความมุ่งหมายเพื่อตรวจดูมาตรฐานความรู้และความเข้าใจใน วิธีคิดทางกฎหมาย(มหาชน) โดยอาศัย พฤติกรรม ของตุลาการหรือผู้พิพากษา ที่แสดงออกให้เห็นได้จากการเขียนให้เหตุผลในการวินิจฉัยคดี ; และแน่นอนว่า ผู้เขียนคงจะไม่สามารถและไม่อยู่ในฐานะที่จะบอกได้ว่า ตุลาการในศาลของเราท่านใด (ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลใด ๆ) มี คุณภาพ เทียบได้หรือเทียบไม่ได้ กับตุลาการของประเทศที่พัฒนาแล้ว ผู้เขียนเพียงแต่จะให้ความเห็นของผู้เขียน เป็นการเพิ่มเติมหรือแตกต่างไปจากการวินิจฉัยของตุลาการผู้ที่ชี้ขาดคดีเท่านั้น และต่อไป ก็คงเป็นเรื่องของท่านผู้อ่านเอง ที่จะต้องใช้วิจารณญาณของท่านผู้อ่าน และมีความเห็นเป็นของตัวท่านเอง
ถ้าท่านผู้อ่านติดตามบทความของผู้เขียน ท่านผู้เขียนคงจำได้ว่า ผู้เขียนได้กล่าวไว้แล้วว่า วิธีคิดทางกฎหมาย (นิติปรัชญา)ทางกฎหมายมหาชน ในยุคปัจจุบัน แตกต่างไปจากความคิดในสมัยของ Montesquieu ที่อยู่ในตำราเรียนและตำรากฎหมายที่นักศึกษาของเราท่องจำอยู่ทุก ๆ วันในขณะนี้ เพราะ Montesquieu ได้ตายไปแล้วกว่า ๒๕๐ ปี คือ ตายตั้งแต่ค.ศ. ๑๗๕๕
ระยะเวลา การเริ่มต้น ของระบอบประชาธิปไตย ได้ผ่านพ้นและหมดไปนานแล้ว และนักกฎหมายในปัจจุบัน มิใช่มีหน้าที่เพียงเขียนกฎหมาย เพื่อให้เป็น ประชาธิปไตย(โดยมีการเลือกตั้ง) หรือ เพื่อ ให้ประชาชนโดยส่วนร่วม (โดยไม่รู้จักองค์ประกอบทางสังคมวิทยาของ ประชาชน และโดยไม่รู้ จุดหมายของการปกครองระบอบประชาธิปไตย) ; ตามหลักนิติปรัชญาในยุคปัจจุบัน ทุกคนทราบอยู่แล้วว่า นักกฎหมายจะต้องทำหน้าที่เป็น วิศกรสังคม - social engineer คือ นักกฎหมายมีหน้าที่ที่จะต้องทำให้ การปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีประสิทธิภาพ และทำให้ นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ต้องใช้อำนาจรัฐเพื่อประโยชน์ส่วนรวม (ไม่ใช่แอบหาประโยชน์)
ในฐานะ ที่เป็นวิศกรสังคม - social engineer นักกฎหมายจะมีบทบาทในสังคมอยู่ ๒ ประการ ประการแรก คือ นักกฎหมายในฐานะที่เป็นนักเทคนิคทางกฎหมาย มีหน้าที่ต้อง ร่าง(ออกแบบ)กฎหมาย เพื่อให้การบริหารประเทศ(ในระบอบประชาธิปไตย) มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนรัฐธรรมนูญ คือ กำหนดระบบสถาบันการเมือง - form of government) หรือเขียนบทกฎหมาย (พระราชบัญญัติ) อื่น ๆ เช่น กำหนดรูปแบบของกระบวนการยุติธรรม ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ตำรวจ / อัยการ / ผู้พิพากษา) ฯลฯ ; นักกฎหมายจะต้องออกแบบ (design)กฎหมาย ให้มีระบบการถ่วงดุลในการใช้อำนาจรัฐ และป้องกันมิให้นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง(และเจ้าหน้าที่ของรัฐ) บิดเบือนการใช้อำนาจ - abuse of power แอบแฝงหาประโยชน์โดยมิชอบ ด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น และเอาที่ดินหรือทรัพยากรของส่วนรวมไปเป็นของตนเอง ; และ ประการที่สอง คือ นักกฎหมาย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นตุลาการหรือผู้พิพากษาที่เป็นผู้ชี้ขาดคดี)มีหน้าที่จะต้องใช้บังคับกฎหมาย (ตีความ) ให้ตรงตามเจตนารมณ์ของบทกฎหมาย และยิ่งกว่านั้น ในกรณีที่บทกฎหมาย (ลายลักษณะอักษร) มีช่องว่าง นักกฎหมายก็มีหน้าที่ที่จะต้องอุดช่องว่างของกฎหมายโดยอาศัย หลักกฎหมายทั่วไป - general principle of law (ซึ่งเป็นหลักการที่สังคมรับรู้กันอยู่) เพื่อให้เกิดเป็นกฎเกณฑ์มาตรฐานของสังคม แม้จะไม่มีการเขียนไว้เป็นลายลักษณอักษร
ปัญหามีอยู่ว่า วงการนักกฎหมายของเรา มีมาตรฐานความรู้และความเข้าใจในกฎหมายมหาชน และมี ศักยภาพ พอที่จะบังคับใช้กฎหมาย ในฐานะที่เป็น วิศกรสังคม - social engineer ตามหลักนิติปรัชญาในยุคปัจจุบัน ได้ดีเพียงใด
เราลองมาทบทวนเหตุการณ์ที่เป็น ความเป็นจริง ที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ว่า นักกฎหมายของเรา (ใน ฐานะ ที่เป็นวิศกรสังคม - social engineer) กำลังทำอะไรกันบ้าง
ประการแรก ถ้าเราดู บทบาทของนักกฎหมายของเราในด้านการออกแบบกฎหมาย เราก็จะพบว่า นักกฎหมายของเราได้ออกแบบ รูปแบบของรัฐบาล - form of government และเขียนรัฐธรรมนูญให้คนไทย เป็น ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา - parliamentary system ซึ่งเป็นประเทศเดียวในโลก
นักกฎหมายของเราไม่รู้และสังวรณ์ว่า ทำไมวงการวิชาการทั่วโลกเขาจึงไม่ใช้ระบบนี้ และ ต่อมา ก็ปรากฎว่า ผลที่เกิดจากการใช้ ระบบนี้ของประเทศไทย(ประเทศเดียวในโลก) ได้ทำให้นายทุนของเรารวมทุนกันตั้ง พรรคการเมือง และอาศัยการเลือกตั้ง(โดยการซื้อเสียงและการใช้อิทธิพล ในสภาพที่สังคมไทยมีความอ่อนแอ) เข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐ แสวงหาความร่ำรวย(โดยมิชอบ)จากทรัพยากรของชาติ และทำการคอร์รัปชั่นทั้งทางตรงและทางนโยบายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน นอกจากนั้น ยังแย่งกัน จับขั้วกันเอง (ระหว่างนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง) ด้วยการแข่งกันแสวงหาพรรคพวกและหาคะแนนเสียงเลือกตั้ง ด้วยการใช้ นโยบาย populist ลด/แลก/แจก/แถม จนคนไทยกลายเป็นคนที่เห็นแก่ได้ และแตกแยกกันออกเป็นฝักเป็นฝ่าย เป็นเสื้อเหลืองเสื้อแดง ฯลฯ ดังที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
และขณะนี้ ก็เป็นที่ประจักษ์ว่า บรรดานายทุนเจ้าของพรรคการเมืองเหล่านี้ พยายามอ้างการ ปรองดอง (ระหว่างนายทุนกันเอง) เพื่อที่จะรักษาระบบการผูกขาดอำนาจรัฐโดยพรรคการเมืองนายทุน ตามรัฐธรรมนูญนี้ไว้ และไม่ยอมให้มี การปฏิรูปการเมือง ด้วยการพยายามบิดเบือนความหมายของการปฏิรูปการเมือง ด้วยการพูดให้คนทั่วไปหลงประเด็น และเอาเรื่องอื่น ๆ เข้ามากลบเกลื่อนความสำคัญของการปฏิรูปการเมือง
ผู้เขียนเชื่อว่า ระบบนี้ จะนำความเสื่อมสลายมาสู่ประเทศไทยและคนไทยในที่สุด เพราะนักการเมืองนายทุนของเราต่างคนต่างเห็นแก่ ประโยชน์ของตนเอง มุ่งหมายที่จะเข้ามาผูกชาดอำนาจรัฐ (และแอบแสวงหาความร่ำรวยให้แก่ตนเอง) โดยไม่คิดถึงประโยชน์ของชาติในระยะยาว
สิ่งที่ผู้เขียนในฐานะนักวิชาการ ไม่สามารถยอมรับได้ ก็คือ การที่นักการเมืองของเราพยายามลวงคนไทยทั้งประเทศ และพยายามให้คนไทยเรียก ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา - parliamentary system ประเทศเดียวในโลกของเรานี้ ว่า เป็น ระบอบประชาธิปไตย ทั้งที่ หลักการของระบอบประชาธิปไตยของทุกประเทศทั่วทั้งโลก คือ ส.ส. ต้องเป็น อิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส.ได้ตามมโนธรรม - consciousของตนเอง และต้องไม่อยู่ภายไต้อาณัติหรือการมอบหมายใด ๆ
ในปีที่ผ่านมา (พ.ศ. ๒๕๕๓) แม้แต่ นายกรัฐมนตรี(นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)ของเราเอง เคยถึงกับบอกกับคนไทยทั้งประเทศว่า ระบอบรัฐสภาของเรา เหมือนกับระบบรัฐสภาของประเทศอังกฤษ และในต้นปีใหม่นี้ (พ.ศ. ๒๕๕๔) นายกรัฐมนตรีของเรา ก็ยังยืนยันที่จะบริหารประเทศ ภายไต้ ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา (ประเทศเดียวในโลก)นี้ต่อไป โดยอ้างว่า เป็น ระบอบประชาธิปไตย
[หมายเหตุ ในที่นี้ ผู้เขียนจะยังไม่กล่าวถึง บทบาทของนักกฎหมายของเราในการออกแบบกฎหมาย ที่เป็นพระราชบัญญัติ เพราะจะทำให้บทความนี้ยาวเกินไป แต่ผู้เขียนเชื่อว่า ท่านผู้อ่านคงจำเหตุการณที่เพิ่งผ่านมาในระยะ ๒ - ๓ ปีนี้ได้ เช่น ปัญหาการขัดแย้งระหว่าง คตส. กันพนักงานอัยการสุงสุด ในเรื่องการไม่ยอมฟ้องคดีเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นของนักการเมือง หรือ ปัญหาเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เราไม่สามารถตั้ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ เป็นเวลานานเกือบปี : ปัญหาเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องของตัวบทกฎหมายของเรา และขณะเดียวกัน ก็แสดงให้เห็น สภาพคุณภาพของวงการนักกฎหมายของเรา ในด้านการออกแบบกฎหมาย(ในฐานะที่เป็นวิศวกรสังคม) อันเป็น ความเป็นจริง - reality ที่เห็นได้ในปัจจุบัน ]
ประการต่อมา เราลองมาดู บทบาทของนักกฎหมายของเรา ในฐานะที่เป็นวิศวกรสังคมในด้านการบังคับใช้กฎหมายและการวินิจฉัยคดีดูบ้างว่า เป็นอย่างไร ; ในประเด็นนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า ถ้าท่านผู้อ่านย้อนความจำดู ก็คงจะพบว่ามีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาบางฉบับหรือหลายฉบับที่ยังค้างคาใจท่านผู้อ่านอยู่ เป็นต้นว่า คำวินิจฉัย ที่ ๓๖ / ๒๕๔๒ วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๒ คดีระหว่าง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน ๑๒๕ คน กับ นายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ปัญหาการพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี ในกรณี ต้องคำพิพากษาให้จำคุก ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐) และ คำวินิจฉัย ที่ ๒๐ / ๒๕๔๔ วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๔ (คดีซุกหุ้น) คดีระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กับ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน ฯ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ) เป็นต้น [ หมายเหตุ เพื่อประโยชน์สำหรับท่านผู้อ่านในการเปรียบเทียบกับคดีนี้ (กรณียุบพรรคประชาธิปัตย์) ผู้เขียนจะได้นำเอา สาระสำคัญ - feature ของคดีทั้งสองนี้ ไปเขียนใว้ให้ท่านผู้อ่านพิจารณา ใน ภาคผนวก ]
ปัญหามีอยู่ว่า เรา(คนไทยทั่ว ๆ ไป) จะทราบได้อย่างไร ว่า ตุลาการหรือผู้พิพากษาของเรา มีความสามารถทำหน้าที่ใน บทบาทนี้ ได้ดี เพียงใด
การที่จะกล่าวว่า มาตรฐาน ความรู้และความเข้าใจทางกฎหมายมหาชน ของผู้พิพากษาหรือของตุลาการของเรา เป็นอย่างไร นั้น เราคงไม่สามารถพูดได้ง่าย ๆ โดยการอาศัย ความรู้สึก(ว่า) แม้ว่าผู้เขียนจะมีความรู้สึกอยู่ก็ตาม เพราะในทางวิชาการ การที่เราจะสามารถพูดเช่นนี้ได้ เราจะต้องมีการศึกษาวิเคราะห์ให้เห็นได้จาก ตัวอย่างของจริง และยิ่งกว่านั้น ถ้าเราต้องการที่จะ พูดอย่างหนักแน่น เราก็ต้องมี ตัวอย่าง หลายตัวอย่าง เพราะการทำศึกษาวิเคราะห์ - case study เพียงคดีหนึ่งหรือสองคดี เป็นเรื่องที่อาจถูกโต้แย้งได้ง่ายว่า เป็นเรื่องของ ตุลาการเป็นรายบุคคล ที่เป็นส่วนน้อยไม่กี่คน และไม่สามารถนำไปสู่ผล สรุป ให้เป็นภาพรวม (สภาพคุณภาพของตุลาการส่วนใหญ่ของประเทศ) ได้
สำหรับผู้เขียน ผู้เขียนได้เรียนให้ท่านผู้อ่านทราบแล้วว่า ผู้เขียนไม่ค่อยได้นำ คำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาของศาลมาทำการศึกษาวิเคราะห์ - case study เพราะผู้เขียนไม่ค่อยมีเวลา และถ้าจะพูดไปแล้ว การทำการศึกษาวิเคราะห์คำพิพากษาของศาลแต่ละคดี เป็นเรื่องที่เสียเวลามาก แต่ได้ผลน้อย คือ ยากที่จะทำให้สังคมหรือคนทั่วไปได้มองเห็น ปัญหา(พฤติกรรม)ของผู้พิพากษาหรือตุลาการ(โดยรวม) ของประเทศ (เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เวลาสำหรับการเขียนบทความเรื่อง การปฏิรูปการเมือง) ทั้ง ๆ ที่ อันที่จริง แล้ว บทบาทของนักกฎหมายในการบังคับใช้กฎหมาย - law enforcement และ การวิเคราะห์ พฤติกรรม ของผู้พิพากษา(ที่แสดงออกให้เห็น จากการเขียนให้ เหตุผล ในคำพิพากษา) เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดสภาพบังคับของกฎหมาย อันเป็นวินัยของสังคมของการอยู่ร่วมกัน
แต่โดยที่กรณีนี้ (คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ - กรณียุบพรรคประชาธิปัตย์) เป็นเรื่องที่มีผู้สนใจมาก ผู้เขียนจึงคิดว่า น่าจะคุ้มค่าถ้าหากจะใช้เวลามาทำการศึกษาวิเคราะห์ดู เพื่อจะได้เป็น ตัวอย่างสักตัวอย่างหนึ่ง ส่วนการที่ท่านผู้อ่านจะทราบหรือสำนึก (realize)หรือไม่ ว่า ปัญหานี้ เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ที่ซ่อน อยู่ในความบกพร่องหรือความพิการของกฎหมายว่าด้วยกระบวนการยุติธรรมของเรา ก็เป็นเรื่องที่ท่านผู้อ่านจะพิจารณาเอาเอง
ในการวิเคราะห์ คำวินิจฉัยของของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ ผู้เขียนจะขอทำการศึกษาวิเคราะห์ ตาม หลักการ ที่ผู้เขียนได้เคยสอนนักศึกษาไว้ในการบรรยายในมหาวิทยาลัย
ผู้เขียนได้สอนนักศึกษาไว้ว่า เราไม่สามารถทราบได้ว่า ผู้พิพากษาผู้ที่เขียนคำพิพากษา เป็นบุคคลที่เก่งหรือไม่เก่ง สุจริต(ใจ)หรือไม่สุจริต ด้วยการอ่านเพียง คำพิพากษา ที่ผู้พิพากษาเขียนไว้ในคำพิพากษา แต่จะต้องอ่านจาก ข้อความที่ไม่ปรากฎ ในคำพิพากษา
ผู้เขียนอธิบาย เหตุผล ให้นักศึกษาฟังอย่างง่าย ๆ คือ ในการเขียนคำพิพากษา ผู้พิพากษาที่เขียนคำพิพากษาจะเป็นผู้ที่ทำใช้อำนาจหลาย ๆอย่างด้วยตนเอง กล่าวคือ ผู้พิพากษาจะเป็นผู้ฟังพยานและสรุป ข้อเท็จจริงในคดีด้วยตนเอง / เป็นผู้กำหนด ประเด็นในการวินิจฉัยด้วยตนเอง / เป็นผู้ที่เขียนให้เหตุผลในคำวินิจฉัย เอง (ตามประเด็นที่ตนเองกำหนด) /และในที่สุด ก็เป็นผู้ชี้ขาดเป็นข้อยุติ เอง ; ความเป็นจริงมีอยู่ว่า โดยพฤติกรรมตามธรรมชาติของคน ผู้พิพากษาที่เขียนคำพิพากษา ย่อมจะไม่เขียนข้อความหรือสาระใด ๆ ที่ขัดกับ ข้อยุติของตนเองไว้ในคำพิพากษา
ดังนั้น ถ้าเราอยากจะทราบว่า ผู้พิพากษา(ที่เขียนคำพิพากษา)ท่านใด เป็นคนเก่งหรือไม่เก่ง สุจริต(ใจ)หรือไม่สุจริต เราจึงต้องอ่านคำพิพากษา จากข้อความที่ไม่ปรากฎ ในคำพิพากษา
ผู้เขียนได้สอนนักศึกษาไว้ว่า ถ้าคำพิพากษาใด มีข้อความที่ ควร จะต้องปรากฎในการพิพากษา ปรากฎอยู่ในคำพิพากษาครบถ้วน ไม่ตกหล่น เราก็สามารถพูดได้ว่า ผู้พิพากษาที่เขียนคำพิพากษาดังกล่าว เป็นผู้พิพากษาที่ดี มีความสามารถ และสุจริต ; และ ในทางตรงกันข้าม ถ้าคำพิพากษาใด มีข้อความที่ ควร จะต้องปรากฎในการพิพากษา ตกหล่นมากกว่าที่พึงคาดหมายได้จากผู้พิพากษา(ที่ถือว่าเป็นผู้เชียวชาญกฎหมาย)แล้ว เราก็สามารถ รู้ ได้ว่า คำพิพากษานั้น (ซึ่งในการสอนนักศึกษากฎหมาย ผู้เขียนเรียกว่า) เป็น คำพิพากษาที่ผิดปกติ ; และผู้พิพากษาที่ทำคำพิพากษาที่ผิดปกตินั้น ก็จะตกอยู่ในกรณีใดกรณีหนึ่ง คือ เป็นผู้ที่มีความรู้ไม่ถึงมาตรฐานของการเป็นผู้พิพากษา หรือ มิฉะนั้น ก็เป็นผู้มีความรู้ถึงมาตรฐาน แต่ไม่สุจริต(ใจ)
แต่แน่นอนว่า ผู้ที่จะสามารถ อ่าน คำพิพากษาตามที่กล่าวมาแล้วได้ จะต้องมี ความรู้และมี ความสามารถ พอที่จะทราบได้ว่า ข้อความใดที่ ควรจะต้องปรากฎในคำพิพากษา แต่ข้อความนั้นบังเอิญมิได้ปรากฎ (ในคำพิพากษา) ; ทั้งนี้ นอกเหนือไปจาก การที่ผู้ที่ทำการวิเคราะห์คำพิพากษาฯ จะต้องสามารถเข้าถึ - access ข้อเท็จจริงในสำนวนคดี ได้ครบถ้วนตามสมควร อีกด้วย
ถ้าศาลของประเทศใด มีตุลาการหรือผู้พิพากษาที่มีคุณภาพ สถาบันศาลก็จะเป็นสถาบันที่ผ่อนคลายปัญหาของสังคมและ เสริมสร้าง ประสิทธิภาพการใช้บังคับของบทกฎหมาย(ที่เป็นลายลักษณอักษร) แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าศาลของประเทศใด มีตุลาการหรือผู้พิพากษาที่ด้อยในคุณภาพ ขาดการพัฒนาในพื้นฐานวิธีคิดทางนิติปรัชญา คำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยของศาลในประเทศนั้น ก็จะสร้างปัญหาให้แก่สังคม เป็นคำพิพากษาที่ ยั่วยุให้บุคคลการกระทำความผิด และหาทางหลบหลีกจากความรับผิด โดยอาศัยความเป็น ศรีธนญชัย ในการเล่นสำนวนความ ดังเช่นในนิทานบางเรื่องที่อ้างว่าพระจันทรมี ๒ ดวง คือ เป็นการ(พยายาม)อธิบายให้คนเชื่อว่า เมื่อเงาพระจันทร ที่อยู่ในน้ำ มีลักษณะเหมือนกับพระจันทร์ที่อยู่บนฟ้าได้ โดยไม่ผิดเพี้ยน(ฉันใด) ดังนั้น ก็ย่อมถือได้ว่า พระจันทรมี ๒ ดวง(ฉันนั้น )
แน่นอน ตามที่กล่าวมาแล้วว่า ผู้เขียน คงมิใช่ผู้ที่จะบอกแก่ท่านผู้อ่านว่า คำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยของศาลในคดีใด เป็น คำพิพากษาที่ผิดปกติ หรือไม่ หรือบอกว่า ตุลาการของศาล (ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลใด ๆ) ของเรา มีคุณภาพอย่างไร เทียบได้หรือเทียบไม่ได้กับตุลาการของศาลในประเทศที่พัฒนาแล้ว ; ในการเขียนบทความวิเคราะห์ คำพิพากษา เป็น case study นี้ ผู้เขียนเพียงแต่จะให้ข้อคิดเห็นของผู้เขียน ที่เพิ่มเติมหรือแตกต่างไปจาก เหตุผลของตุลาการที่ทำการวินิจฉัยคดีเท่านั้น และก็เป็นเรื่องที่ท่านผู้อ่าน จะต้องใช้วิจารณญาณของท่านและมีความเห็นของท่านเอง
บทความนี้ จะมีสาระแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ดังต่อไปนี้
ส่วนที่หนึ่ง เป็นส่วนที่เป็นการรวบรวม ข้อเท็จจริง อันเป็นปฏิกริยาของสังคมไทย ต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (หลังจากที่ ตุลาการของศาลรัฐธรรมนูญ ได้อ่านคำวินิจฉัย(อย่างไม่เป็นทางการ) ในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ แล้ว)
ส่วนที่สอง เป็นการ สรุปสาระ ของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (โดยในการสรุปนี้ จะไม่มีข้อวิจารณ์หรือความเห็นของผู้เขียนปะปนอยู่ด้วยแต่ประการใด) แยกออกเป็น ๒ ตอน
ตอนที่ ๑ การสรุปสาระสำคัญ ของ คำวินิจฉัย (อย่างไม่เป็นทางการ) ของศาลรัฐธรรมนูญ (เผยแพร่โดยศาลรัฐธรรมนูญ ใน www.constitutionalcourt.or.th หลังจากที่ตุลาการอ่านคำวินิจฉัย ในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓)
ตอนที่ ๒ การสรุปสาระ ของ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๑๕/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ (แต่เผยแพร่ โดยศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ ใน www.constitutionalcourt.or.th )
ส่วนที่สาม เป็นความเห็นเชิงวิเคราะห์ของผู้เขียน ซึ่งจะแบ่งเป็น ๒ ตอน
ตอนที่ ๑ เป็นการวิเคราะห์สาระของ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๕/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ รวมทั้ง คำวินิจฉัย (อย่างไม่เป็นทางการ) ของศาลรัฐธรรมนูญ
ตอนที่ ๒ เป็นความเห็นเชิงวิเคราะห์ทั่วไปเกี่ยวกับ กระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ โดยรวม
สรุป เราจะทำอย่างไร กับ มาตรฐานและคุณภาพของนักกฎหมายมหาชน ของประเทศไทย
[และภาคผนวก : สรุปสาระสำคัญ - feature ของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (บางคดี) สำหรับการศึกษาวิเคราะห์ พฤติกรรม ของผู้พิพากษา (ที่แสดงออกให้เห็นได้ จากการเขียนให้ เหตุผล ในคำพิพากษา)
================================================
ส่วนที่หนึ่ง ปฏิกริยาของสังคมไทย ต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (กรณียุบพรรคประชาธิปัตย์)
ศาลรัฐธรรมนูญ ได้อ่านคำวินิจฉัยคดีนี้ เมื่อบ่ายวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นการอ่านคำวินิจฉัยในทันทีหลังจากการแถลงปิดคดีด้วยวาจา โดยผู้ร้อง(นายทะเบียนพรรคการเมือง) และผู้ถูกร้อง(พรรคประชาธิปัตย์) ในเช้าวันเดียวกัน ; และสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น ก็คือ คำวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก ทั้งจากบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และจากวงการวิชาการ
เพื่อประโยชน์ในทางวิชาการและเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ ผู้เขียนเห็นสมควรที่จะเก็บรวบรวม ข้อเท็จจริง ที่มีสาระสำคัญ (เท่าที่ผู้เขียนได้อ่านมา)ไว้ในบทความนี้ด้วย โดยจะแยกเป็น ๒ หัวข้อ คือ (๑) ข้อเท็จจริง ที่เป็นปฏิกริยาและเป็นการโต้ตอบของผู้ที่เกี่ยวข้อง(ตามที่ปรากฎในสื่อมวลชน) และ (๒) ความเห็น ของนักวิชาการ
(๑)ข้อเท็จจริง ที่เป็นปฏิกริยาและเป็นการโต้ตอบของผู้ที่เกี่ยวข้อง (ตามที่ปรากฎในสื่อมวลชน)
สาระที่อยู่ในหัวข้อ นี้ จะเป็นข้อความที่ผู้เขียนลอกมาจากหนังสือพิมพ์บางฉบับ โดยเลือกเอาจากฉบับที่มี ข้อเท็จจริงมีรายละเอียดที่อาจเป็นประโยชน์ในทางวิชาการ หรือ เป็น ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม นอกเหนือไปจากเรื่องที่เรารู้กันอยู่ทั่ว ๆ ไป และในการคัดลอกนี้ ผู้เขียนจะใช้ ถ้อยคำตามที่ปรากฎอยู่ในสื่อมวลชน โดยไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติม ; และ ผู้ที่เกี่ยวข้องในที่นี้จะมีอยู่ ๓ ฝ่ายด้วยกัน คือ พรรคการเมืองฝ่ายค้าน / กรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมือง / และตุลาการ(บางท่าน)ที่เป็นผู้พิจารณาและทำคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๑๕/๒๕๕๓ โดยจะกล่าวเรียงตามลำดับ ดังนี้
(ก)ความเห็นของ พรรคเพื่อไทย (พรรคการเมืองฝ่ายค้าน)
โฆษกพรรคเพื่อไทย (ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านและเป็น ผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในคำวินิจฉัยนี้) (ข่าววันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓) แถลงว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีนัยสำคัญอยู่ ๗ ประเด็น คือ
(๑) คำวินิจฉัยขัดแย้งกันเองในประเด็นสาระสำคัญ คือ คำวินิจฉัยส่วนต้น เห็นว่านายทะเบียนมิได้ทำความเห็นให้ยุบพรรค ปชป. จึงถือว่า คำร้องมีความไม่ถูกต้อง ทำให้คำร้องไม่ชอบ ; แต่คำวินิจฉัยอีกส่วนหนึ่ง กลับบอกว่า การยื่นคำร้องให้ยุบพรรคตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง กฎหมายมิได้บัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องเสนอความเห็นว่า พรรคใดมีเหตุต้องถูกยุบหรือไม่ ดังนั้น นายทะเบียนจะเสนอความเห็นหรือไม่ จึงไม่ใช่สาระสำคัญ
(๒) ระยะเวลา ๑๕ วันตามที่บัญญัติไว้ ตามที่บัญญัติไว้ตาม มาตรา ๙๓ วรรคสอง ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง มิใช่ อายุความฟ้องคดี เป็นเพียงกำหนดเวลาที่มีเจตนารมณ์ให้นายทะเบียนพรรคการเมือง เร่งรัดการดำเนินการ ; เมื่อศาลรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว จะมาอ้างเหตุดังกล่าวเพื่อยกคำร้องอีกไม่ได้ ; อีกทั้งคู่กรณีก็มิได้ยกประเด็นดังกล่าวมาเป็นข้อโต้แย้ง
(๓) ระยะเวลา ๑๕ วันนับแต่วันที่ความปรากฎต่อนายทะเบียนนั้น ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้แล้วว่า หมายถึงวันที่นายทะเบียนมีความเห็นให้ยุบพรรค คดีนี้ กกต.มีมติให้นายทะเบียนยื่นคำร้องวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ เมื่อนายทะเบียนยื่นคำร้องวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๓ จึงไม่เกินกำหนดเวลา ; คำวินิจฉัย(นี้)จึงขัดแย้งกับคำวินิจฉัยเดิม
(๔) ที่ระบุว่านายทะเบียนยื่นคำร้องเกิน ๑๕ วัน มีเพียง ๑ เสียง จึงไม่สามารถนำมาเป็นเหตุผลในการเขียนไว้ในคำวินิจฉัยกลางได้
(๕) การเอาเรื่อง กำหนดเวลา ๑๕ วัน มาเป็นข้ออ้างในการยกคำร้อง ทั้งที่ข้อเท็จจริงในคำร้อง เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและงบประมาณ ; เสียโอกาสที่จะดำเนินคด๊อาญาและคดีแพ่งกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
( ๖) ความเห็นของนายทะเบียนไม่มีกฎหมายกำหนด รูปแบบและวิธีการไว้ ดังนั้น การที่นายทะเบียนเสนอความเห็นต่อ กกต. เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ จึงถือว่านายทะเบียนมีความเห็นแล้ว สอดคล้องกับความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญส่วนหนึ่งที่ระบุไว้ในคำวินิจฉัย ; ดังนั้น ที่ระบุว่านายทะเบียนยังไม่มีความเห็นเป็นเหตุยกคำร้อง จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่สมเหตุสมผล และ
(๗) การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตามข้อกำหนดข้อ ๕๐ กำหนดให้ต้องวินิจฉัยทุกประเด็นที่ศาลกำหนดไว้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่หนึ่งและประเด็นที่สองเท่านั้น อีก ๓ ประเด็นที่เป็นเนื้อหาคดี กลับไม่วินิจฉัย
เจ้าหน้าที่ในคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทย (ข่าว วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓) กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายของพรรคจะประชุมเพื่อหารือว่า สมควรดำเนินการอย่างไรต่อไป ; ช่องทางยื่นถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๗๐ - ๒๗๕ คงพอมีทางอยู่ ; คำวินิจฉัยครั้งนี้ สร้างรอยด่างแก่กระบวนการยุติธรรมและวงการนิติศาสตร์อย่างมาก
(ข)ความเห็นของ กรรมการการเลือกตั้ง ๓ ท่าน (นางสดศรี สัตยธรรม / นายสมชัย จึงประเสริฐ / นายอภิชาติ สุขัคคานนท์)
๑)นางสดศรี สัตยธรรม (กกต .ด้านกิจการพรรคการเมือง) (ข่าววันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓) ให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ (ทีเอ็นเอ็น ๒๔)ว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองเคยออกความเห็น ในการประชุม กกต เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ให้ยกคำร้องคดีดังกล่าว ที่ประชุม กกต.ได้สอบถามแล้วว่า เป็นความเห็นนายทะเบียนพรรคการเมืองหรือไม่ โดยนายอภิชาตยืนยันว่า เป็นการออกความเห็นในฐานะประธาน กกต. และให้ตั้งกรรมการตรวจสอบของนายทะเบียนพรรคการเมืองเพิ่มเติม ใช้เวลาสอบ ๓ เดือน จนถึงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ จึงสอบเสร็จและเสนอกลับมาว่าสมควรให้มีการยุบพรรค ปชป.
นางสดศรีกล่าวว่า นายทะเบียนพรรคเห็นว่า เป็นเรื่องสำคัญ จึงเสนอให้ กกต.ลงมติร่วมกัน ดังนั้น น่าจะถือว่าวันที่๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นวันที่นายทะเบียนพรรคให้ความเห็น กกต.ไม่ได้ละเลยเรื่องกำหนดเวลา ; นอกจากนี้ กกต.ยังยึดคำวินิจฉัยยุบ ๓ พรรค (พรรคธัมมาธิปไตย พรรคพลังธรรม พรรคธรรมชาติไทย) ของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อปี ๒๕๕๐ มาเป็นแนวทางในการพิจารณาด้วย ดังนั้นทั้ง ๕ คนไม่จำเป็นต้องลาออกเพื่อรับผิดชอบ
ส่วนคดีบริจาค ๒๕๘ ล้านบาทจากบริษัท ที พี ไอ โพ ลินจำกัด(มหาขน) นางสดศรีกล่าวว่า เป็นความผิดคนละมาตรา ; คดี ๒๕๘ ล้านบาทเป็นความผิดมาตรา ๙๕ พ.ร.บ.พรรคการเมือง ๒๕๕๐ ที่ไม่มีเงืjอนไขเวลา เป็นเรื่องที่กกต.ต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุด ไม่ได้ยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ การยื่นเรื่องของ กกต.ยังอยู่ในกำหนด ๓๐ วันในการยื่นคำร้องต่อศาล
นอกจากนั้น ในหนังสือพิมพ์บางฉบับ นางสดศรี สัตยธรรม (กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง)กล่าวว่า ในวันที่ ๑๗ ธันวาคม นั้น ความยังไม่ปรากฎ แต่ในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ ตรงนี้มีความเห็นที่ครบถ้วนในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ประธาน กกต และกกต. ซึ่ง ๓ องค์ประกอบนี้ จึงได้มีมติให้ส่งเรื่องไปในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ ; และถ้าหากนับตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษายน จนถึง วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๓ ซึ่งหากจะนับ ก็ไม่เกิน ๑๕ วัน
๒) นายสมชัย จึงประเสริฐ ( กกต.ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย) (ข่าววันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓) กล่าวที่สำนักงาน กกต.ว่า กรณีนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งถือว่าดำรงตำแหน่งประธาน กกต.ด้วยนั้น ได้มีมติหรือความเห็นชอบออกมาเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ เพื่อให้ส่งคดีดังกล่าวไปที่ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว จึงถือว่านายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นชอบในวันนั้นแล้ว ........
๓) นายอภิชาต สุขัคคานนท์ (นายทะเบียนพรรคการเมืองและประธานกรรมการการเลือกตั้ง) (ข่าววันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓) ; รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันเดียวกันนี้(วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓) ได้มีการประชุม กกต.ตามปกติ หลังมีกระแสข่าวกดดันภายในให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง แสดงความรับผิดชอบ โดยระหว่างการประชุม นายอภิชาตพูดต่อที่ประชุมตอนหนึ่งว่า ไปลงข่าวได้อย่างไรว่า กกต.จะปลดผมออก ....... แต่ผมยังเห็นว่าคงต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการก่อนภายใน ๑๐ วัน ดังนั้น จึงพูดอะไรขณะนี้ไม่ได้
รายงานข่าวแจ้งต่อไปว่า กกต.บางคนขอให้นายอภิชาตแถลงข่าว เพื่อชี้แจงให้สังคมรับทราบ เพราะเห็นว่าสังคมยังคงไม่เข้าใจคำวินิจฉัยของศาล เพราะยังคงเข้าใจว่า เมื่อมีผลออกมาเช่นนี้ กกต.ทั้งหมดควรแสดงความรับผิดชอบ ; แต่นายอภิชาติกลับเห็นว่า ไม่ควรที่จะชี้แจงคำวินิจฉัยของศาลในช่วงนี้ ควรรอให้ศาลมีคำวินิจฉัยกลางอย่างเป็นทางการออกมาก่อน เพราะหากชี้แจงช่วงนี้ จะเป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยศาลได้
(ค)คำชี้แจง ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (นายจรัล ภักดีธนากุล)
เรื่องวิจารณ์ศาลคลาดเคลื่อน (ข่าววันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ ) นายจรัญ ภักดีธนากุล (ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ) ได้ กล่าวในรายการ เก็บตกจากเนชั่น ทางสถานีโทรทัศน์ ฯ ว่า การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องระยะเวลา ๑๕ วันนั้น ถือว่าเป็นความคลาดเคลื่อนของข้อมูล การวิพากษ์ของสังคมต้องตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่ถูกต้องก่อน ; ต้องเรียนว่าตุลาการเสียงข้างมาก ๔ คนเห็นตรงกันว่า คำร้องที่ยื่นมาไม่ถูกต้อง โดยดูจากพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงแล้ว จึงเห็นควรให้ยกคำร้อง แต่เหตุมีอยู่ ๒ เหตุผล คือ (๑) เป็นของตุลาการ ๓ คน เห็นว่า นายทะเบียนยังไม่ได้ให้ ความเห็นในฐานะนายทะเบียนว่ามีการกระทำผิดและควรให้ยุบพรรค ที่ กกต.ประชุมกันคล้ายกับว่าเป็นขั้นตอนของกฎหมายที่กำหนดไว้ ยังไม่ครบขั้นตอน ; และ (๒) เหตุผลระยะเวลา ๑๕ วันนั้น เป็นของตุลาการ ๑ เสียง โดยให้ถือวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ (กกต.)มีมติแล้ว ดังนั้น จึงเกิน ๑๕ วัน จึงยกคำร้อง
นายจรัลกล่าวว่า ในคำวินิจฉัยใน ๑๐ หน้าแรก(แบบไม่เป็นทางการ) ให้ความเห็นไว้ชัดเจน ทั้งประเด็นข้อเท็จจริงที่ละเอียดและข้อกฎหมาย โดยข้อกฎหมายของตุลาการ ๓ คนของเสียงข้างมากเห็นว่า นายทะเบียนต้องมี ความเห็นก่อนว่าควรให้ยุบพรรค จากนั้นนายทะเบียนจึงมาขอ ความเห็นชอบจากที่ประชุม กกต.; ความเห็นของนายทะเบียนแยกออกต่างหากจาก ความเห็นของ กกต.และความเห็นของประธาน กกต. ซึ่งอยู่ในฐานะสมาชิกท่านหนึ่งใน กกต. ด้วยเหตุนี้ จะนำความเห็นของประธาน กกต. มาเป็นความเห็นของนายทะเบียนนั้น ไม่ถูกต้อง ; ตรงนี้เป็นเหตุของตุลาการ ๓ คน
เมื่อถามว่า ความเห็นของตุลาการ ๓ คนของเสียงข้างมาก ไม่ได้ดูเงื่อนไขเรื่องระยะเวลา นายจรัลกล่าวว่า ไม่ใช่ครับ ; เมื่อถามย้ำว่า ถือว่าเกินระยะเวลา ๑๕ วันหรือไม่ นายจรัลกล่าวว่า ไม่ใช่ครับ แต่เห็นว่า ยังไม่ได้เริ่มต้นนับ ๑๕ วัน และเห็นว่ายังไม่ครบองค์ประกอบ เพราะยังไม่มีความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง
กฎหมายได้แยกภาระหน้าที่ของนายทะเบียน ประธาน กกต. และ กกต.ไว้ชัด ; ประธาน กกต.ในฐานะที่เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของ กกต .ออกเสียงลงมติในที่ประชุม กกต. ไม่ใช่ทำหน้าที่ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เพียงแต่ว่ามันยาก เพราะสองตำแหน่งนี้สวมอยู่ในคนคนเดียวกัน ; ในทางปฏิบัติ เราก็แยกว่า ในขณะนั้นได้สวมหมวกอะไร ทำหน้าที่อะไร ก็ถือว่า ทำหน้าที่ในตำแหน่งนั้น นายจรัลกล่าว
นายจรัลกล่าวว่า การพิจารณาคดีนี้ คณะตุลาการทั้ง ๖ คน ได้ทำการบ้านมาทุกประเด็น แต่ตัวตุลาการทั้ง ๖ คน ไม่มีใครรู้ธงคำตอบของตุลาการแต่ละคนมาก่อนล่วงหน้า และมาเปิดกันครั้งแรก ตอนที่มีการลงมติในวันตัดสินคดีประมาณบ่ายโมงเศษ ๆ ; เมื่อลงมติกัน ก็ได้ลงมติกันทีละประเด็น แต่เมื่อประเด็นข้อกฎหมายไม่ผ่าน การลงมติในข้ออื่น ๆ ในทางปฏิบัติไม่ทำ เพราะฉะนั้น ในคำวินิจฉัยกลางจึงจบแค่นั้น
การรัองเรียน ต่อ ป.ป.ช. อนึ่ง ในตอนปลายเดือนธันวาคม (วันที่ ๒๐ และ ๒๑ ธันวาคม) มีข้อเท็จจริงเพิ่มเติม โดยปรากฎเป็นข่าวในสื่อมวลขน ๒ - ๓ ฉบับ ว่า ได้มีบุคคลของพรรคการเมืองบางพรรคหรือบุคคลบางกลุ่ม ร้องเรียนกล่าวหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก (ที่เห็นควรให้ยกคำร้องของนายทะเบียน) ๔ ท่าน ต่อ ป.ป.ช. ว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทั้ง ๔ ท่าน ได้วินิจฉัยให้ยกคำร้องคดียุบพรรค ปชป. โดยให้เหตุผลที่ผิดพลาดอย่างชัดแจ้ง ซึ่งอาจเข้าข่าย เป็นการใช้อำนาจหรือปฏิบัติเหน้าที่โดยมิชอบ เพราะได้ปรากฎข้อเท็จจริงว่า ตุลาการทั้ง ๔ ท่านนี้ ได้เคยวินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๔-๕/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓ (กรณียุบพรรคพลังเกษตรกร) นี้เอง ; โดยข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าว การทำความห็นของนายอภิชาติ สุขขัคคานนท์ ในการยุบพรรคพลังเกษตรกร นายอภิชาติก็ได้ทำความเห็นเพียงว่า นำเข้าที่ประชุม กกต.เท่านั้น และก็ทำใน ฐานะประธาน กกต. โดยมิได้ระบุว่าเป็น ความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง เช่นเดียวกับในคดีนี้ ; แต่ในคดีนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ยุบ พรรคพลังเกษตรกร ซึ่งเอกสารดังกล่าวก็ยังอยู่ในสำนวนคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ; ในการพิจารณาคดีนั้น ศ่าลรัฐธรรมนูญ มิได้หยิบยกประเด็นเรื่อง นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่ทำความเห็น ขึ้นมาพิจารณาแต่อย่างใด และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทั้ง ๔ ท่านนี้ ก็ได้ร่วมวินิจฉัยอยู่ในคดีนั้นด้วย แต่พอมาในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิชาตได้ทำความเห็นทั้งในฐานะประธาน กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมือง ตุลาการทั้ง ๔ ท่าน กลับวินิจฉัยไปอีกทาง .........ทั้งที่คดีเดิมนั้น เพิ่งตัดสินไปเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๓ ( ๘ เดือน) นี้เอง
[หมายเหตุ ข้อสังเกตของผู้เขียน ผู้เขียนคงจะไม่ให้ ข้อคิดเห็น ใด ๆ ในส่วนนี้ เพราะส่วนนี้เป็นส่วนของการเก็บ ข้อมูลไว้สำหรับการวิเคราะห์เท่านั้น แต่ผู้เขียน(ในฐานะนักวิชาการ)เพียงแต่แปลกใจอยู่บ้าง เพราะตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎข้างต้นนี้ ดูเหมือนว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่รู้ตัวหรือไม่ได้ระแวงมาก่อน ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะนำ ประเด็น ที่ว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องทำ ความเห็นมาก่อนที่จะเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง มาเป็น เหตุ ยกคำร้องของนายทะเบียนพรรคการเมือง และดังนั้น คำถามมีว่า เพราะเหตุใด จึงเป็นเช่นนั้น เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นใน กระบวนวิธีพิจารณาความ ของศาลรัฐธรรมนูญ (?) (?)]
อ่านต่อหน้า 2
|
|
|
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1546
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 19:38 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|