|
|
ร่างต้นแบบ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย 23 สิงหาคม 2553 21:07 น.
|
(ร่าง)รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..)
พุทธศักราช ....
......................................
......................................
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
........................................................................................................................................................................
มาตรา ๑ รัฐธรรมนูญนี้เรียกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ....
มาตรา ๒ รัฐธรรมนูญนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความใน (๓) ของมาตรา ๑๐๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๑๐๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความใน (๗) และ (๘) ของมาตรา ๑๐๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๒๒ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทน
ปวงชนชาวไทยโดยไม่อยู่ในอาณัติมอบหมายใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นของตน
โดยบริสุทธิ์ใจ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย
มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๒๓ ก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา
ต้องปฏิญานตนในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาน) ขอปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็น
ของข้าพเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ
มาตรา ๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา ๑๓๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ให้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการบังคับการตามประมวลจริยธรรมของสมาชิก
สภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการ โดยในกฎหมายดังกล่าวต้องจัดให้มีคณะกรรมาธิการประจำของสภาแต่ละสภา ซึ่งประกอบด้วยบุคคลภายนอกที่มิใช่สมาชิกสภา
อย่างน้อยหนึ่งในสาม มีหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของสมาชิกสภา
และกรรมาธิการ และต้องกำหนดระดับโทษทางวินัยที่ชัดเจน ทั้งนี้ ในการวินิจฉัยการฝ่าฝืนหรือการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นความผิดทางวินัยตามมาตรา ๒๗๙ วรรคสาม
จะต้องกระทำโดยองค์คณะบุคคลที่เป็นกลางตามที่กฎหมายกำหนด โดยต้องมีวิธีพิจารณาที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ให้โอกาสผู้ถูกล่าวหาในการชี้แจง และมีคำวินิจฉัยที่มีการให้เหตุผล
มาตรา ๙ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๔๕/๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๔๕/๑ ร่างพระราชบัญญัติสำคัญของคณะรัฐมนตรีที่ได้ผ่านการ
ตรวจพิจารณาของที่ประชุมของประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาทุกคณะตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจนำเสนอต่อรัฐสภา โดยแจ้งต่อประธานรัฐสภาว่า ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายสำคัญของรัฐบาล และในกรณีนี้ให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยเร็ว ตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(๑) หากสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่รับหลักการของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ให้ดำเนินการยุบสภาโดยผลของกฎหมาย
(๒) ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ห้ามมิให้สภาผู้แทนราษฎร
และวุฒิสภาแก้ไขร่างพระราชบัญญัติโดยคณะรัฐมนตรีไม่เห็นชอบด้วย
(๓) ในกรณีที่วุฒิสภาไม่เห็นด้วยหรือเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามมาตรา ๑๔๗ (๒) หรือ (๓) ให้สภาผู้แทนราษฎรยกร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ขึ้นพิจารณาใหม่ทันที และในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรไม่ยกร่างพระราชบัญญัติขึ้นพิจารณาทันที หรือในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรยกร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นพิจารณาใหม่ทันที แต่สภาผู้แทนราษฎรไม่ผ่านร่างเดิมหรือร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาร่วมกัน ด้วยคะแนนเสียงข้างมากตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๑๔๘ วรรคหนี่ง ให้ดำเนินการยุบสภาโดยผลของกฎหมาย
มาตรา ๑๐ ให้ยกเลิกความใน มาตรา ๑๕๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๕๘ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป
เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และเมื่อได้มีการเสนอญัตติแล้ว จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมิได้ เว้นแต่จะมีการถอนญัตติหรือการลงมตินั้นไม่ได้คะแนนเสียงตามวรรคสาม
การเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามวรรคหนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีที่มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ราชการ หรือจงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย จะเสนอโดยไม่มีการยื่นคำร้องขอ
ตามมาตรา ๒๗๑ ก่อนมิได้ และเมื่อได้มีการยื่นคำร้องขอตามมาตรา ๒๗๑ แล้ว ให้ดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องรอผลการดำเนินการตามมาตรา ๒๗๒
เมื่อการอภิปรายทั่วไปสิ้นสุดลงโดยมิใช่ด้วยมติให้ผ่านระเบียบวาระเปิดอภิปรายนั้นไปให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจ การลงมติในกรณีเช่นว่านี้มิให้กระทำ
ในวันเดียวกับวันที่การอภิปรายสิ้นสุด มติไม่ไว้วางใจต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
ในกรณีที่มติไม่ไว้วางใจมีคะแนนเสียงไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายนั้น เป็นอันหมดสิทธิที่จะเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีอีกตลอดสมัยประชุมนั้น
ในกรณีที่มติไม่ไว้วางใจมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง และให้ดำเนินการยุบสภา
โดยผลของกฎหมาย
มาตรา ๑๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๖๘/๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๘/๑ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
ที่วุฒิสภาไม่เห็นชอบตามมาตรา ๑๖๘ วรรคสี่ ถ้าในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๑๔๘ วรรคสอง สภาผู้แทนราษฎรไม่ยกร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นพิจารณาใหม่ทันที หรือในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรยกขึ้นพิจารณาทันทีแล้ว แต่สภาผู้แทนราษฎรไม่ผ่านร่างพระราชบัญญัติด้วยจำนวนคะแนนเสียงข้างมากตามที่กำหนด ให้ดำเนินการยุบสภาโดยผลของกฎหมาย
มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๑๗๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ มาตรา ๒๙๑/๑ ถึงมาตรา ๒๙๑/๓๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
หมวด ๑๖
การปฏิรูปประเทศ
ส่วนที่ ๑
การจัดทำรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปการเมือง
มาตรา ๒๙๑/๑ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า คณะกรรมการพิเศษ
เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ ประกอบด้วย กรรมการซึ่งทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งจำนวนเจ็ดคน แบ่งเป็นสองประเภท คือ
(๑) ประเภทที่หนึ่ง ได้แก่ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญกฎหมายรัฐธรรมนูญ จำนวนห้าคน ได้แก่
(ก) ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ประธานองคมนตรีถวายชื่อตามคำแนะนำของ
คณะองคมนตรี จำนวนสองคน
(ข) ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ประธานวุฒิสภาถวายชื่อตามคำแนะนำของสมาชิกวุฒิสภา จำนวนหนึ่งคน
(ค) ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรถวายชื่อจำนวนสองคน
โดยคนหนึ่งตามคำแนะนำของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคการเมืองที่เป็นพรรครัฐบาล
และอีกคนหนึ่งตามคำแนะนำของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคการเมืองที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน
(๒) ประเภทที่สอง ได้แก่ กรรมการที่มีประสบการณ์ทางการเมือง ที่ประธานองคมนตรีถวายชื่อตามคำแนะนำของคณะองคมนตรีจากผู้ที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว
จำนวนสองคน
ให้มีประธานคณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติหนึ่งคน
และรองประธานหนึ่งคน ที่ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งจากกรรมการพิเศษเพื่อการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ โดยการถวายชื่อโดยประธานองคมนตรีตามคำแนะนำของคณะองคมนตรี
การถวายรายชื่อบุคคลตามวรรคหนึ่ง (๑) (ข) และ (ค) ให้ประธานวุฒิสภา
และประธานสภาผู้แทนราษฎรกระทำโดยผ่านประธานองคมนตรี
ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการการแต่งตั้งประธาน รองประธาน และกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ
พรรครัฐบาล ตามมาตรานี้ หมายความถึง พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง
ที่มีสมาชิกของพรรคหรือของกลุ่มการเมืองหรือผู้ได้รับการเสนอชื่อโดยพรรคการเมืองหรือ
โดยกลุ่มการเมือง ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือตำแหน่งข้าราชการการเมืองอื่น และให้หมายความรวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวด้วย และ พรรคฝ่ายค้าน หมายความถึง พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง ที่มีสมาชิกของพรรคหรือของกลุ่มการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ไม่ได้เป็นพรรครัฐบาล
และให้หมายความรวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง
ที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือตำแหน่งข้าราชการการเมืองอื่นด้วย
มาตรา ๒๙๑/๒ บุคคลที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ ต้องไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น และภายในสามปีนับแต่วันพ้นจากตำแหน่งกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลดังกล่าวสมัคร
รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา หรือสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และห้ามมิให้เป็นข้าราชการการเมือง
มาตรา ๒๙๑/๓ ให้คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ
มีเลขานุการหนึ่งคน ที่ประธานคณะกรรมการแต่งตั้งตามคำแนะนำของคณะกรรมการ และให้มี
รองเลขานุการสองคน โดยเลขาธิการวุฒิสภาเป็นรองเลขานุการคนที่หนึ่ง และให้เลขาธิการ
สภาผู้แทนราษฎรเป็นรองเลขานุการคนที่สอง
ให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเป็นหน่วยธุรการของคณะกรรมการพิเศษ
เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ มีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติการให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการ
มาตรา ๒๙๑/๔ คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ
มีหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการออกเสียงเป็นประชามติตามมาตรา ๒๙๑/๑๒ และเมื่อ
ร่างรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบโดยประชามติแล้ว ให้ประธานคณะกรรมการนำขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้บังคับเป็นรัฐธรรมนูญต่อไป ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้
การยกร่างรัฐธรรมนูญตามความในหมวดนี้ กระทำโดยมีเจตจำนงที่จะปฏิรูปการเมืองให้ประเทศไทยเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตยที่มีสถาบันการเมืองที่มีประสิทธิภาพ
และมีการใช้อำนาจรัฐอย่างโปร่งใสเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ประกอบกับการทำให้ศาลและองค์กรอิสระที่สำคัญของรัฐ มีการจัดรูปแบบองค์กรที่มีระบบความรับผิดชอบ และมีวิธีพิจารณาหรือ
วิธีปฏิบัติที่เหมาะสมกับอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้ ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี
องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกไม่ได้
มาตรา ๒๙๑/๕ ให้คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ
ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้การกำกับดูแลของประธานกรรมการ และให้ประธานกรรมการมีอำนาจกำหนดระเบียบและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมตลอดถึงให้มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน ที่ปรึกษา และหรือผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการได้ตามที่เห็นสมควร
ในกรณีที่ตำแหน่งกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติว่างลง
เพราะเหตุใดเหตุหนึ่ง ให้กรรมการที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ และให้ดำเนินการเพื่อให้
มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างโดยเร็ว
มาตรา ๒๙๑/๖ ให้คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ
จัดทำร่างรัฐธรรมนูญเป็นวาระแรก พร้อมทั้งเอกสารประกอบร่างรัฐธรรมนูญ ให้แล้วเสร็จภายใน[หกเดือน] นับแต่วันที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ
เอกสารประกอบร่างรัฐธรรมนูญ ตามวรรคหนึ่ง เป็นเอกสารที่มีความมุ่งหมายจะให้ความรู้และความเข้าใจในร่างรัฐธรรมนูญโดยสังเขป โดยเอกสารดังกล่าวจะต้องชี้แจงอธิบายโครงสร้างของร่างรัฐธรรมนูญ และอธิบายให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ของบทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญ ตลอดจนความคาดหมายในความสำเร็จหรืออุปสรรคที่อาจจะ
เกิดขึ้นในเชิงปฏิบัติจากการดำเนินการตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ รวมทั้งสาระสำคัญอย่างอื่น
ที่ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือประชาชนควรจะได้รับรู้
มาตรา ๒๙๑/๗ เมื่อคณะกรรมการพิเศษที่ยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ
จัดทำร่างรัฐธรรมนูญ และเอกสารประกอบร่างรัฐธรรมนูญตามมาตราก่อนเสร็จแล้ว
ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) ให้ส่งร่างรัฐธรรมนูญและเอกสารดังกล่าวไปยังสภาผู้แทนราษฎร
และวุฒิสภา เพื่อให้สภาทั้งสองพิจารณาและให้ความเห็นตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๙๑/๘
(๒) จัดเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญและเอกสารดังกล่าวเป็นการทั่วไป ตลอดจนส่งเสริมและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
มาตรา ๒๙๑/๘ ให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพิจารณาและให้ความเห็น
ในร่างรัฐธรรมนูญ โดยจัดทำเป็นบันทึกความเห็นที่มีการกำหนดประเด็นและการให้ข้อคิดเห็น
ในประเด็นต่าง ๆ อย่างชัดเจน ประกอบด้วยการให้เหตุผลในเชิงวิชาการและในเชิงปฏิบัติ รวมทั้งระบุถึงอุปสรรคและเหตุการณ์ที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นได้หรือได้เคยเกิดขึ้นแล้วในประเด็นต่าง ๆ หากมี
ในการให้ความเห็นของสภาผู้แทนราษฎร ให้จัดทำเป็นบันทึกโดยแยกความเห็นและข้อเสนอแนะออกเป็นสองฉบับ โดยฉบับหนึ่งเป็นบันทึกความเห็นและข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคการเมืองที่เป็นพรรครัฐบาล และอีกฉบับหนึ่งเป็นบันทึกตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคการเมืองที่เป็น
พรรคฝ่ายค้าน และในการให้ความเห็นและข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นโดยอิสระตามมโนธรรมของตน โดยไม่อยู่ภายใต้อาณัติและผูกพันกับมติของพรรคการเมืองที่ตนสังกัด
ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาดำเนินการให้แล้วเสร็จ
และจัดส่งบันทึกตามมาตรานี้ให้แก่คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ
ภายในกำหนด [สามเดือน] นับแต่วันที่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาได้รับร่างรัฐธรรมนูญ
และเอกสารประกอบร่างรัฐธรรมนูญจากคณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ
มาตรา ๒๙๑/๙ ให้คณะกรรมการการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ จัดพิมพ์และเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญพร้อมทั้งเอกสารประกอบร่างรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑/๖ และบันทึกความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาผู้แทนราษฎรและของวุฒิสภาตามมาตรา ๒๙๑/๘ ต่อสาธารณะ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญตลอดจนความเห็นและข้อเสนอแนะของสมาชิกของสภาทั้งสอง และให้จัดให้มีการรับฟัง
ความคิดเห็นจากประชาชนโดยทั่วไปอย่างทั่วถึง ในลักษณะของการจัดทำประชาพิจารณ์
หรือการรับฟังความเห็นสาธารณะ
มาตรา ๒๙๑/๑๐ เมื่อคณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ
ได้รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา และได้รับข้อคิดเห็นจากประชาชนเป็นการทั่วไปแล้ว ให้คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติทำการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นวาระที่สอง สำหรับให้ประชาชนออกเสียงเป็นประชามติตามมาตรา ๒๙๑/๑๒ พร้อมทั้งจัดทำเอกสารประกอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกิน [หกเดือน] นับแต่วันที่คณะกรรมการได้รับบันทึกความเห็นและข้อเสนอแนะจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาตามมาตรา ๒๙๑/๘ วรรคสาม
เอกสารประกอบร่างรัฐธรรมนูญ ตามวรรคหนึ่ง นอกจากจะต้องมีสาระสำคัญตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๙๑/๖ วรรคสอง ในกรณีที่คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติไม่เห็นด้วยกับความเห็นหรือข้อเสนอแนะที่เป็นสาระสำคัญของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ให้คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติให้เหตุผลไว้ด้วยว่า คณะกรรมการไม่เห็นด้วยกับความเห็นหรือข้อเสนอแนะดังกล่าว เพราะเหตุผลอย่างใด
ให้คณะกรรมการระบุไว้ในเอกสารประกอบรัฐธรรมนูญด้วยว่า ตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว จะมีกฎหมายสำคัญซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ตราขึ้นเป็น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ จำนวนกี่ฉบับ และในเรื่องใดบ้าง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเรื่องใด ควรจะกำหนดให้มีหลักการและสาระสำคัญอย่างใด และนอกจากนั้น ในบรรดาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว ให้คณะกรรมการให้ความเห็นไว้ด้วยว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับใด มีความจำเป็นหรือเหมาะสมที่จะต้องตราขึ้นเพื่อให้
มีผลบังคับใช้พร้อมกับการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ตามวิธีการที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๙๑/๑๖
ถึงมาตรา ๒๙๑/๑๘
มาตรา ๒๙๑/๑๑ ในระหว่างการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญตามความในหมวดนี้
หากคณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติเห็นว่า หลักการสำคัญในร่างรัฐธรรมนูญ
มีประเด็นหนึ่งประเด็นใดหรือหลายประเด็นที่อาจมีทางเลือกที่เหมาะสมได้หลายทาง และสมควร
ที่จะได้รับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นการทั่วไปก่อนที่จะวินิจฉัยว่าจะร่างรัฐธรรมนูญ
ไปในทางหนึ่งทางใด คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติอาจจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อรับฟังความเห็นจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้
ในการจัดทำประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติกำหนดประเด็นให้ชัดเจน และจัดทำเอกสารประกอบการจัดทำประชามติ เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจในประเด็นและความสำคัญของประเด็นที่คณะกรรมการขอความเห็น และให้นำบทบัญญัติมาตรา ๒๙๑/๖ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม และจัดให้มีการเผยแพร่เอกสารดังกล่าวพร้อมกับการทำความเข้าใจกับผู้มีสิทธิออกเสียง
เป็นเวลาอย่างน้อย [สามสิบ] วันก่อนวันออกเสียงลงประชามติ
มาตรา ๒๙๑/๑๒ ให้คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ
จัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อให้ความเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญของประเทศไทย
ภายในกำหนดอย่างช้าไม่เกิน [สิบแปดเดือน]นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช .... ใช้บังคับ
ในการออกเสียงประชามติ ให้ผู้มีสิทธิออกเสียงลงมติเลือก ระหว่างเอกสารรัฐธรรมนูญสองฉบับ คือ
(๑) บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
(ตามที่ได้มีนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งจำนวนมากเรียกร้อง) กับ
(๒) ร่างรัฐธรรมนูญที่คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ
ได้จัดทำขึ้น
การกำหนดวันออกเสียงประชามติ ขั้นตอนการดำเนินการเพื่อการจัดทำประชามติ ตลอดจนหลักเกณฑ์และวิธีการในการลงประชามติ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ และให้มีการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับ
และเอกสารประกอบร่างรัฐธรรมนูญ เป็นเวลาอย่างน้อย [สามสิบ] วัน ก่อนวันออกเสียงประชามติ
มาตรา ๒๙๑/๑๓ การออกเสียงคงคะแนนเป็นประชามติต้องมีผู้มีสิทธิออกเสียงใช้สิทธิออกเสียงไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด หากผู้มีสิทธิออกเสียงใช้สิทธิ
ออกเสียงต่ำกว่ากึ่งหนึ่ง ให้ถือว่าไม่มีการออกเสียงประชามติ และให้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันต่อไป และให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ
เป็นอันสิ้นสุดลงภายใน [สามสิบวัน] นับแต่วันที่ออกเสียงประชามติ
มาตรา ๒๙๑/๑๔ ในกรณีที่เสียงข้างมากของการออกเสียงประชามติเห็นชอบ
ให้ใช้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ให้รัฐสภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ โดยมิชักช้า
และให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติเป็นอันสิ้นสุดลงภายใน (สามสิบวัน) นับแต่วันที่ออกเสียงประชามติ
มาตรา ๒๙๑/๑๕ ในกรณีที่เสียงข้างมากของการออกเสียงประชามติเห็นชอบ
ให้ใช้ร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยคณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ ให้ประธานองคมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา นำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานรัฐธรรมนูญ
ให้ประธานองคมนตรี ประธานวุฒิสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร
เป็นผู้ลงนามรับสนองพระราชโองการร่วมกัน และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อใช้บังคับเป็นรัฐธรรมนูญต่อไป
มาตรา ๒๙๑/๑๖ ในวาระเริ่มแรกของการปฏิรูปการเมือง เพื่อประโยชน์ในการที่ประเทศจะได้มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่สร้างพื้นฐานการบริหารประเทศที่สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนในการออกเสียงประชามติ
และเพื่อประโยชน์ในการจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
ให้รัฐธรรมนูญที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษามีผลใช้บังคับตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(๑) ให้รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด [หนึ่งร้อยแปดสิบวัน] นับแต่
วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
(๒) ให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลง
ในวันที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ และให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารประเทศอยู่ในวันที่รัฐธรรมนูญ
มีผลใช้บังคับ ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่
มาตรา ๒๙๑/๑๗ ในระหว่างที่รัฐธรรมนูญยังไม่มีผลใช้บังคับตามมาตรา ๒๙๑/๑๖ (๑) ให้คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามที่คณะกรรมการระบุไว้ในเอกสารประกอบร่างรัฐธรรมนูญว่าเป็นกฎหมายที่จำเป็นหรือเหมาะสมที่จะต้องใช้บังคับพร้อมกับรัฐธรรมนูญ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้
(๑) ให้คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ ยกร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว โดยถือตามแนวของหลักการและสาระสำคัญที่ได้ระบุไว้ในเอกสารประกอบร่างรัฐธรรมนูญ
(๒) ให้ยกร่างกฎหมายดังกล่าวให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว แต่ต้องไม่ช้ากว่า [หกสิบวัน]นับแต่วันที่ได้มีการออกเสียงประชามติ
(๓) เมื่อร่างเสร็จแล้ว ให้คณะกรรมการส่งร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวพร้อมด้วยเอกสารประกอบร่างกฎหมายที่ได้จัดทำขึ้น ไปยังสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อให้สภาทั้งสองให้ความเห็นและข้อเสนอแนะมายังคณะกรรมการ
(๔) ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๒๙๑/๘ วรรคหนึ่งและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม และให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร
และประธานวุฒิสภา จัดส่งบันทึกความเห็นและข้อเสนอแนะให้คณะกรรมการภายในกำหนด [สามสิบวัน] นับแต่วันที่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาได้รับร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
จากคณะกรรมการ
(๕) ให้คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ จัดพิมพ์เผยแพร่
ร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและเอกสารประกอบร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นการทั่วไป
เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
(๖) เมื่อคณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติได้รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา และได้รับข้อคิดเห็นจากประชาชนทั่วไปแล้ว ให้คณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติจัดทำร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และดำเนินการให้มีการประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายตามมาตรา ๒๙๑/๑๘ เพื่อให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับรัฐธรรมนูญ
มาตรา ๒๙๑/๑๘ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ได้ตราขึ้นตามมาตราก่อน
ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา โดยมีประธานคณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการ และให้ถือว่าพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ดังเช่นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
มาตรา ๒๙๑/๑๙ เมื่อรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ การปฎิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติตามความในหมวดนี้ ย่อมสิ้นสุดลง
มาตรา ๒๙๑/๒๐ ให้รัฐสภากำหนดค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ให้แก่ประธาน รองประธาน และกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ โดยตราเป็นพระราชบัญญัติ
ส่วนที่ ๒
คณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติ
มาตรา ๒๙๑/๒๑ เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงแห่งชาติ และเพื่อให้การปฏิรูปประเทศบรรลุผลตามเจตน์จำนงของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ให้มีคณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติขึ้นคณะหนึ่ง ซึ่งพระมหากษัตริย์
ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้ง โดยมีประธานองคมนตรีและนายกรัฐมนตรีลงนามร่วมกันรับสนอง
พระบรมราชโองการ
คณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติ ประกอบด้วย สมาชิกจำนวนสิบคน โดยมีสมาชิกสองประเภท คือ
(๑) สมาชิกโดยตำแหน่ง จำนวนห้าคน ได้แก่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว หรือผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวมีเหตุไม่สมควร
ที่จะดำรงตำแหน่ง ประธานองค์มนตรีโดยการปรึกษาหารือกับนายกรัฐมนตรีอาจถวายรายชื่อของ
ผู้ที่ดำรงตำแหน่งถัดไปหรือรองลงไปให้ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งแทนได้
(๒) สมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนห้าคน ได้แก่ อธิการบดีในมหาวิทยาลัย
และสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของสภาผู้แทนราษฎรจำนวนสี่คน
โดยสองคนมาจากการเสนอชื่อจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรครัฐบาล และอีกสองคน
มาจากการเสนอชื่อจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคฝ่ายค้าน และที่ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาจำนวนหนึ่งคน
ให้นำมาตรา ๒๙๑/๑ วรรคห้า ว่าด้วยความหมายของ พรรครัฐบาล และ
พรรคฝ่ายค้าน มาใช้บังคับ
มาตรา ๒๙๑/๒๒ คณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติ
มีประธานหนึ่งคนจากสมาชิกโดยตำแหน่ง และให้มีรองประธานสองคน โดยอย่างน้อยคนหนึ่งต้องมาจากสมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งนี้ ตามที่คณะมนตรีพิจารณาเห็นสมควร
ให้คณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติ มีเลขานุการหนึ่งคน ตามที่ประธานคณะมนตรีแต่งตั้งตามคำแนะนำของคณะมนตรี เรียกชื่อว่า เลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติ และให้มีรองเลขานุการไม่เกินสองคน โดยให้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นรองเลขานุการคนที่หนึ่งโดยตำแหน่ง และรองเลขาธิการ
คนที่สอง หากมี ให้ประธานคณะมนตรีแต่งตั้งตามคำแนะนำของคณะมนตรี
ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยธุรการของคณะมนตรี
ความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติ และมีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติการให้เป็นไปตาม
มติของคณะมนตรี
มาตรา ๒๙๑/๒๓ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้มีคณะที่ปรึกษาของ
คณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติ ตามที่คณะมนตรีแต่งตั้งขึ้นคณะหนึ่ง
มีจำนวนไม่เกินห้าสิบคน
ให้คณะที่ปรึกษามีอำนาจหน้าที่ตามที่คณะมนตรีมอบหมาย
มาตรา ๒๙๑/๒๔ คณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติ
มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำแก่คณะรัฐมนตรี ในปัญหาที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ
(๒) ประสานงานระหว่างคณะรัฐมนตรีกับคณะกรรมการพิเศษยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สำเร็จลุล่วงไป ตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการเมือง
(๓) ตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา ๒๙๑/๒๖
(๔) ยับยั้งการขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่อาจมีผลเป็นการขัดขวาง หรือเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปการเมืองตามมาตรา ๒๙๑/๒๗
(๕) ศึกษาวิเคราะห์กฎหมายที่สำคัญเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปประเทศ
และเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวพร้อมทั้งบันทึกความเห็น ให้คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้คณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติ
มีอำนาจวางระเบียบการประชุมของคณะมนตรี ระเบียบการทำงานของคณะที่ปรึกษา และระเบียบการปฏิบัติงานของหน่วยธุรการได้ตามที่เห็นสมควร
มาตรา ๒๙๑/๒๕ คณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติ
ย่อมไม่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหาร และคณะมนตรีและสมาชิกของคณะมนตรีต้องไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการแทรกแซงการบริหารประเทศของรัฐบาล
มาตรา ๒๙๑/๒๖ ในกรณีที่ปรากฏต่อคณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติว่าผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ราชการ หรือจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้คณะมนตรีส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อดำเนินการไต่สวน และดำเนินการต่อไป
มาตรา ๒๙๑/๒๗ ในกรณีที่คณะมนตรีความมั่นคงและพัฒนาการเมืองแห่งชาติ
เห็นว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในเรื่องใดหรือในประเด็นใด อาจเป็นอุปสรรคหรือมีเหตุ
อันควรเชื่อได้ว่ามุ่งหมายที่จะขัดขวางการปฎิรูปการเมือง ให้คณะมนตรีมีสิทธิยับยั้งญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ โดยแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบพร้อมด้วยเหตุผล และให้ยุติการดำเนินการตามญัตติดังกล่าวไว้จนกว่าคณะมนตรีจะมีความเห็นเป็นอย่างอื่น
มติของคณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติตามวรรคหนึ่ง ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกของคณะมนตรีทั้งหมด และให้ประกาศความเห็นของคณะมนตรีพร้อมด้วยเหตุผลในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้ประชาชน
ทราบทั่วกัน
ความเห็นของคณะมนตรีความมั่นคงและพัฒนาการเมืองแห่งชาติตามมาตรานี้
ให้เป็นที่สุด
มาตรา ๒๙๑/๒๘ เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน ให้มีการปรึกษา หารือระหว่างประธานคณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติกับนายกรัฐมนตรีเป็นประจำ อย่างน้อยสองเดือนต่อครั้ง โดยจะมีบุคคลที่เกี่ยวข้องตามที่ประธานคณะมนตรี
หรือนายกรัฐมนตรีกำหนด เข้าร่วมปรึกษาหารือด้วยก็ได้
เพื่อประโยชน์ในการประสานการทำงานเพื่อการปฏิรูปการเมือง ให้มีการปรึกษาหารือระหว่างประธานคณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา และประธานคณะกรรมการพิเศษ
เพื่อการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ เป็นครั้งคราวตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ตามที่ประธาน
คณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองกำหนด
มาตรา ๒๙๑/๒๙ การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการความมั่นคงและการพัฒนาการแห่งชาติสิ้นสุดลง พร้อมกับคณะกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญ ตามความในส่วนที่หนึ่งของหมวดนี้
มาตรา ๒๙๑/๓๐ ให้รัฐสภากำหนดค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ให้แก่ประธานประธานคณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติ รองประธาน สมาชิกคณะมนตรี และที่ปรึกษาของคณะมนตรี โดยตราเป็นพระราชบัญญัติ
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๑๔ ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ คงเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้ แล้วแต่กรณี
และให้นับอายุของสภาผู้แทนราษฎรและวาระของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้ ต่อเนื่องเป็นอายุของสภาผู้แทนราษฎรและเป็นวาระของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้ แล้วแต่กรณี
ก่อนเริ่มการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญนี้ ในการประชุมครั้งแรกของ
สภาผู้แทนราษฎรหรือของวุฒิสภาหลังจากวันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาปฏิญาณตนด้วยถ้อยคำตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ที่แก้ไขเพิ่มเติมตามรัฐธรรมนูญนี้
มาตรา ๑๕ ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ คงเป็นคณะรัฐมนตรี ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้
มาตรา ๑๖ ให้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการบังคับการตามประมวลจริยธรรม
ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการ ตามมาตรา ๑๓๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้ ให้แล้วเสร็จภายใน [สามเดือน]นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ
มาตรา ๑๗ ให้ประธานวุฒิสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรนำรายชื่อบุคคล
ที่จะถวายชื่อให้ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ
ตามมาตรา ๒๙๑/๑ (๑) (ข) และ (ค) ส่งให้ประธานองคมนตรีภายใน[สี่สิบห้าวัน]นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้บังคับ
ให้ประธานองคมนตรีถวายรายชื่อบุคคลเพื่อทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการพิเศษเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ ภายใน[หกสิบวัน]นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้บังคับ
มาตรา ๑๘ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรวางระเบียบและดำเนินการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิที่จะเสนอคำแนะนำให้ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกในคณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติ จากอธิการบดีในมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐจำนวนห้าคนตามมาตรา ๒๙๑/๒๑ วรรคสอง (๒) และส่งให้ประธานองคมนตรีและนายกรัฐมนตรีภายใน[สี่สิบห้าวัน]นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้บังคับ
ให้ประธานองคมนตรีและนายกรัฐมนตรีถวายรายชื่อบุคคลที่จะทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นคณะมนตรีความมั่นคงและการพัฒนาการเมืองแห่งชาติ ตามมาตรา ๒๙๑/๒๑ ภายใน[หกสิบวัน]นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้บังคับ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
...........................................
นายกรัฐมนตรี
|
|
|
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1493
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 18:35 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|