ครั้งที่ 232

15 กุมภาพันธ์ 2553 00:49 น.

       ครั้งที่ 232
       สำหรับวันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ ถึงวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
       
       “ย้อนอดีตการยึดทรัพย์”
       
       ช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนพูดถึงเรื่องการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะพิพากษาคดีเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของอดีตนายกรัฐมนตรีกันอยู่มาก เรียกได้ว่าเป็นหัวข้อสนทนาที่สำคัญหัวข้อหนึ่งในสังคมไทยครับ ผลจะเป็นอย่างไรก็รอฟังกันเอาเองในบ่ายวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้
       ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเช่นกัน ผมได้รับการสอบถามและได้รับคำเชิญให้ไปพูดเรื่องการ “ยึดทรัพย์” อดีตนายกรัฐมนตรีอยู่หลายครั้งแต่ก็ได้ปฏิเสธไป เนื่องจากว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล คงต้องรอดูคำพิพากษาก่อนว่าจะออกมาอย่างไรจึงค่อยคิดว่า ควรหรือไม่ที่จะพูดหรือเขียนเรื่องการยึดทรัพย์ครั้งนี้ครับ
       เพื่อให้สอดคล้องกับบรรยากาศของ “การยึดทรัพย์” ผมได้ลองค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการยึดทรัพย์ครั้งสำคัญ ๆ ในประเทศไทยมาศึกษา ซึ่งก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่งว่า มีข้อมูลจำนวนหนึ่งที่ยากที่จะค้นคว้าหรือเข้าถึง ทำให้ไม่อาจปะติดปะต่อเรื่องได้มากนัก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อค้นมาแล้วเพื่อไม่ให้เสียเปล่าก็เลยจะขอนำมาเล่าให้ฟังอย่างย่อ ๆ ในบทบรรณาธิการครั้งนี้ โดยผมจะขอเล่าถึงการยึดทรัพย์ครั้งสำคัญ ๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเมืองไทย นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา ซึ่งผมจะขอแบ่งการนำเสนอออกเป็น 3 เรื่องหลัก ๆ คือ การยึดทรัพย์พระมหากษัตริย์ การยึดทรัพย์นักการเมือง และการยึดทรัพย์ข้าราชการระดับสูง
       สำหรับ “คนรุ่นใหม่” คงสงสัยว่า “การยึดทรัพย์พระมหากษัตริย์” เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 สถานะของพระมหากษัตริย์เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนกับในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ “อะไรๆ” จึงเกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาดังกล่าว ผมคงไม่สามารถนำมาเล่าทั้งหมดได้ แต่จะเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยึดทรัพย์ของพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวภายหลังจากที่พระองค์ทรงสละราชสมบัติ ซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ในเวลานี้ก็หายากมาก ได้อาศัยหนังสือเรื่อง “เจ้าฟ้าประชาธิปก ราชันผู้นิราศ” ของนายหนหวย (ไม่ปรากฏวันเดือนปีที่พิมพ์และสำนักพิมพ์) มาเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นคว้า สรุปความได้ว่า ในปี พ.ศ. 2478 รัฐบาลที่มีพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรีได้เสนอร่างกฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งต่อมาได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2479 กฎหมายดังกล่าวคือ “พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479” กฎหมายนี้มีขึ้นเพื่อแบ่งเอาทรัพย์สินและผลประโยชน์ของพระมหากษัตริย์ไปเป็นของแผ่นดินโดยแยกทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทรัพย์สินส่วนสาธารณะสมบัติของแผ่นดินและทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ออกจากกัน เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับ ก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบทรัพย์สินตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายดังกล่าว คณะกรรมการชุดนี้พบว่ามีเงินจำนวนหนึ่งถูกสั่งจ่ายไปโดยพระปกเกล้าฯ สำหรับภารกิจของพระองค์ตั้งแต่ครั้งยังไม่ทรงสละราชสมบัติ ต่อมากระทรวงการคลังจึงได้มอบให้อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องพระปกเกล้าฯและพระนางเจ้ารำไพพรรณีต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2482 เรียกร้องให้ใช้เงินจำนวน 6 ล้านบาทเศษคืนแก่รัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น การพิจารณาคดีดำเนินไปในขณะที่พระปกเกล้าฯทรงประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ในที่สุดเมื่อถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2484 ศาลแพ่งก็ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 242/2482 คดีหมายเลขแดงที่ 404/2484 ให้โจทก์คือกระทรวงการคลังชนะคดี พระปกเกล้าฯ ซึ่งขณะนั้นสวรรคตไปแล้วจึงต้องคืนเงินจำนวน 6 ล้านบาทเศษให้กับกระทรวงการคลัง
       
ข้อมูลต่อจากนี้ผมไม่สามารถหาได้ว่ามีการดำเนินการอย่างไร แต่ที่พบก็คือ รัฐบาลยึดวังศุโขทัยและริบทรัพย์สินอื่นของพระปกเกล้าฯเพื่อนำไปขายทอดตลาดแต่ในที่สุดก็ไม่ได้ขาย ต่อมาในปี พ.ศ. 2485 กระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็นกระทรวงที่ตั้งขึ้นใหม่ก็ได้ขอเช่าวังศุโขทัยจากกระทรวงการคลังในอัตรา 5,000 บาท ต่อเดือนเพื่อใช้เป็นที่ทำการครับ
       นี่คือความเป็นมาอย่างคร่าว ๆ ของการยึดทรัพย์พระมหากษัตริย์เท่าที่ผมพอจะหาได้ครับ การยึดทรัพย์ครั้งนี้เป็นเรื่องของ “การเมือง” ล้วนๆ เป็นการเมืองที่ “พลเรือน” เล่นกันอย่าง “รุนแรง” และก็เป็นการยึดทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่นใดๆทั้งสิ้นครับ !
       ในอดีตที่ผ่านมา มีนักการเมืองถูกยึดทรัพย์ไปแล้วหลายราย การยึดทรัพย์นักการเมืองทุกครั้งมีสาเหตุมาจากการที่นักการเมืองทุจริตคอรัปชั่นครับ การยึดทรัพย์นักการเมืองครั้งแรกเกิดขึ้นกับ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ฯ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ถึงวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 ในระหว่างดำรงตำแหน่งได้แสดงบทบาทเป็นอย่างสูงด้วยการใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 สั่งประหารชีวิตและจำคุกผู้คนจำนวนหนึ่ง หลังจากที่ถึงแก่อสัญกรรมไปไม่กี่เดือน บุตรชายของจอมพลสฤษดิ์ ฯ ที่เกิดจากภรรยาเก่าและพวกก็ได้ฟ้องขอให้ศาลแบ่งมรดกจำนวน 287 ล้านบาทเศษ ซึ่งก็ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากว่า จอมพลสฤษดิ์ ฯ นั้นร่ำรวยมาจากไหน!!! นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นคือ จอมพลถนอม กิตติขจร จึงได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของจอมพลสฤษดิ์ ฯ ขึ้นเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2507 โดยมีพระมนูเวทย์วิมลนาท เป็นประธาน คณะกรรมการชุดดังกล่าวทำงานอยู่ 5 เดือน จึงได้รายงานผลการตรวจสอบทรัพย์สินของจอมพลสฤษดิ์ฯต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งต่อมาจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีก็ได้ออกคำสั่งตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 ยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์ฯ 2 ครั้ง รวม 600 ล้านบาทเศษ เมื่อท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ ภริยาจอมพลสฤษดิ์ ฯ ได้ยื่นฟ้องคัดค้านการยึดทรัพย์ในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2508 รัฐบาลจึงได้นำเอาประเด็นการใช้อำนาจมาตรา 17 แห่งธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 และร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้ใช้อำนาจตามมาตรา 17 เข้าสู่การอภิปรายของสภานิติบัญญัติในวันต่อมาคือในวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2508 ในวันเดียวกันนั้นเอง สภาได้ลงมติเห็นชอบในหลักการและพิจารณาร่างกฎหมาย 3 วาระรวด รวมถึงนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันเดียวกันนั้นเองด้วยคือวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2508 กฎหมายดังกล่าวคือ “พระราชบัญญัติให้ความคุ้มครองและห้ามฟ้องบุคคลผู้ปฏิบัติการเกี่ยวแก่มาตรา 17 แห่งธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2508” ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญคือ คุ้มครองการใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรก่อนหรือหลังวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ (มาตรา 13) และหากมีคดีฟ้องร้องกันอยู่ในวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ ก็ให้ศาลจำหน่ายคดี (มาตรา 14) ภายหลังจากที่กฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับ จึงได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2510 จำหน่ายคดีดังกล่าวครับ !!!
       การยึดทรัพย์นักการเมืองครั้งต่อมา คือการยึดทรัพย์จอมพลถนอม กิตติขจร และเครือญาติ ในปี พ.ศ. 2516 เกิดเหตุการณ์ “วันมหาวิปโยค” ขึ้นและจอมพลถนอม กิตติขจร กับพวกต้องเดินทางออกนอกประเทศ รัฐบาลที่มีนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้ใช้อำนาจอายัดและตรวจสอบทรัพย์สินของจอมพลถนอม กิตติขจร กับพวกตามเสียงเรียกร้องของมหาชนในขณะนั้น โดยมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาคณะหนึ่ง มีนายบุญมา วงศ์สวรรค์ เป็นประธานกรรมการ คณะกรรมการตรวจสอบพบว่าจอมพลถนอม ฯ กับพวก (ซึ่งเป็นเครือญาติ) มีทรัพย์สินรวม 434 ล้านบาทเศษ นายกรัฐมนตรีคือ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ จึงใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515 สั่งยึดทรัพย์จอมพลถนอม ฯ กับพวกไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2517 ซึ่งต่อมาภายหลังจากที่จอมพลถนอม ฯ สามารถกลับเข้าสู่ประเทศไทยได้ ก็ได้ทำการยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งว่าการใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515 ยึดทรัพย์ของตนและพวก ไม่มีผลใช้บังคับ ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้พิพากษายกฟ้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ก็ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลฎีกาในวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2519 ก็ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเช่นเดียวกันครับ
       การยึดทรัพย์นักการเมืองครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้ออกประกาศฉบับที่ 26 ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมืองขึ้นคณะหนึ่งมี พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ เป็นประธานกรรมการ คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินของนักการเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้อง รวม 25 คน ต่อมาภายหลังการตรวจสอบพบว่ามีนักการเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้องเพียง 13 คนเท่านั้นที่ “ร่ำรวยผิดปกติ” แต่ในที่สุดก็มีเพียง 10 คนที่ถูกยึดทรัพย์การยึดทรัพย์นำมาสู่การแก้ไขประกาศฉบับที่ 26 ให้ “ดูเป็นธรรม” ยิ่งขึ้น โดยให้นักการเมืองที่ถูกยึดทรัพย์มีสิทธิคัดค้านต่อศาลได้ นักการเมืองที่ถูกยึดทรัพย์ได้ใช้สิทธิดังกล่าวคัดค้านการยึดทรัพย์ต่อศาล โดยโยงประเด็นไปถึงความชอบธรรมของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ต่อมาศาลฎีกาซึ่งได้พิพากษาว่า อำนาจของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินเป็นอำนาจในการพิพากษาคดีที่เป็นของศาล ประกาศฉบับที่ 26 จึงมีผลเป็นการตั้งคณะบุคคลที่มิใช่ศาลให้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเช่นเดียวกับศาลที่ขัดกับประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ด้วยเหตุผลดังกล่าวประกอบกับเหตุผลอื่น ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินซึ่งก็ส่งผลให้ทรัพย์สินของนักการเมืองทั้ง 10 คน ไม่ถูกยึดครับ!!!
       ภายหลังจากรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ประกาศใช้บังคับ มีการตั้งองค์กรในการตรวจสอบการใช้อำนาจของนักการเมืองขึ้นมาใหม่ ๆ หลายองค์กร รวมทั้ง “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ด้วย ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ “ยึดทรัพย์” นักการเมืองไปแล้ว 1 คน คือ นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งผมก็ได้เคยเขียนเรื่องดังกล่าวไปแล้วในบทบรรณาธิการครั้งที่ 225 ครับ ลองไปหาอ่านดูถ้าสนใจครับ
       มาถึงเหตุการณ์ล่าสุดกันบ้าง ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ออกประกาศฉบับที่ 23 เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2549 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมืองขึ้น โดยมีนายสวัสดิ์ โชติพานิช เป็นประธานกรรมการ และมีกรรมการอีก 7 คน ซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่งที่เป็นข้าราชการระดับสูงของประเทศทั้งนั้น แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใด 6 วันต่อมา คือในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2549 คณะรัฐประหารก็ได้ออกประกาศฉบับที่ 30 ยกเลิกประกาศฉบับที่ 23 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินใหม่จำนวน 12 คนโดยไม่ระบุตัวประธานกรรมการ และเป็นการตั้งบุคคลตามรายชื่อเฉพาะตัวเป็นกรรมการ คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินได้ดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จากนั้นก็ส่งต่อไปให้องค์กรอื่นๆซึ่งเป็นองค์กรที่มีอยู่ตามปกติตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมาย ผ่านกระบวนการต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ในประกาศฉบับที่ 30 เรื่อยมาจนกระทั่งในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ก็จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการตรวจสอบทรัพย์สินที่เกิดจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ครับ
       ส่วนการยึดทรัพย์ข้าราชการระดับสูงนั้น ที่ผ่านมาเท่าที่ผมทราบ ศาลฎีกาได้ตัดสินยึดทรัพย์จำนวน 69 ล้านบาทเศษของพลเอกชำนาญ นิลวิเศษ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุกจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ กับศาลฎีกาได้ตัดสินยึดทรัพย์จำนวน 16 ล้านบาทเศษของนายเมธี บริสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ป. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ เช่นกันครับ การยึดทรัพย์ของข้าราชการทั้ง 2 รายนี้ เป็นการยึดทรัพย์โดยใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่และโดยศาลฎีกา จึงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆตามมาครับ
       ทั้งหมดก็คือ เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการยึดทรัพย์ครั้งสำคัญ ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยครับ
       จะเห็นได้ว่า กระบวนการยึดทรัพย์นักการเมืองไทยโดยอาศัยอำนาจที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหารเช่นอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตามที่กำหนดไว้ในธรรมนูญปกครองราชอาณาจักรนั้น ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าเป็นการใช้อำนาจของ “ศาลเตี้ย” ที่ใช้อำนาจ “นอกระบบ” โดยไม่ใช้อำนาจตุลาการทำการตัดสิน การยึดทรัพย์ในปี พ.ศ. 2534 จึงพยายามทำให้เป็นระบบมากขึ้น แต่ก็เกิดข้อผิดพลาดทางกระบวนการด้านกฎหมายขึ้นมาอีก ด้วยเหตุนี้เองที่กระบวนการเพื่อนำไปสู่การยึดทรัพย์ครั้งล่าสุด จึงพยายามทำให้เป็น “ระบบ” มากขึ้น โดยไม่ให้คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีอำนาจในการยึดทรัพย์ แต่กลับส่งไปให้ “กลไก” ตามปกติที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย คือ อัยการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นผู้ดำเนินการต่อไปจนจบ
       ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า หากมีการ “ยึดทรัพย์” เกิดขึ้นจริงแล้ว จะเกิดเสียงเรียกร้องหรือความพยายามที่จะให้เกิดการ “คืนทรัพย์” ตามมาเช่นการยึดทรัพย์นักการเมืองที่ผ่านมา 3 ครั้งหรือไม่ เพราะการออกประกาศฉบับที่ 30 ของคณะรัฐประหารเมื่อปีพ.ศ. 2549 เพื่อตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินขึ้นมาก็เป็น “จุดอ่อน” ที่สำคัญของกระบวนการยึดทรัพย์ครั้งล่าสุดนี้ครับ !!!
       
       ในสัปดาห์นี้ เรามีบทความมานำเสนอ 4 บทความด้วยกัน บทความแรกเป็นบทสัมภาษณ์ ศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ เกี่ยวกับพัฒนาการของศาลปกครองไทย ที่ได้ลงเผยแพร่ในวารสารวิชาการศาลปกครองไปแล้วครับ บทความที่สองเป็นบทความของผมเรื่อง “ความเป็นมาของการจัดตั้งผู้พิทักษ์สิทธิของประชาชนในประเทศฝรั่งเศส” บทความที่สามเป็นบทความเรื่อง “ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบทนิยาม “พรรคการเมือง” ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ณรงค์เดช สรุโฆษิต แห่งคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนบทความสุดท้าย อาจารย์ ดร.วรรณภา ติระสังขะ แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนบทความเรื่อง “ศาลและวิธีพิจารณาคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในประเทศฝรั่งเศส” มานำเสนอครับ ผมขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกคนครับ
       
       พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553 ครับ
       
       ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์


พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1436
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 11:51 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)