|
|
องค์กรอิสระหรือรัฐอิสระ 4 กรกฎาคม 2552 22:06 น.
|
แรกเริ่มเดิมทีที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้บัญญัติให้มีการจัดตั้งองค์กรอิสระและหน่วยงานต่างๆที่มีอำนาจพิเศษขึ้นมาด้วยจุดมุ่งหมายว่าจะให้เป็นองค์กรที่ตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้ง ฝ่ายการเมืองและฝ่ายประจำ โดยผู้ร่างรัฐธรรมนูญพยายามออกแบบให้แต่ละองค์กรทำหน้าที่สอดประสานกันอย่างเป็นระบบ
การตรวจสอบถ่วงดุลเริ่มจากการกลั่นกรองนักการเมืองก่อนเข้าสู่อำนาจเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เมื่อเข้าสู่อำนาจแล้วเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน(คตง.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) และผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา(ปัจจุบันรัฐธรรมนูญปี ๕๐ เปลี่ยนชื่อเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน)
นอกจากนั้นยังมีองค์กรตุลาการที่ตั้งขึ้นมาใหม่คือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง คอยตรวจสอบว่ากระทำการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
แต่การณ์กลับปรากฏว่าหาได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี ๔๐ แต่อย่างใดไม่ มิหนำซ้ำยังมีการแก้ไขเพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญปี ๕๐ เสียจนเละเทะไปหมด มีการยกสถานะของอัยการให้เป็นองค์อื่นตามรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารอย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกับองค์กรตุลาการแต่ยังไม่ยอมทิ้งผลประโยชน์โดยยังคงสามารถเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจได้
องค์กรต่างๆพยายามสร้างอาณาจักรของตนเองขึ้นมาอย่างใหญ่โตมโหฬาร มีการขยายอำนาจตนเองออกไปอย่างกว้างขวางรุกล้ำองค์กรอื่น สร้างระบบบริหารงานบุคคลของตนเองขึ้นมาใหม่โดยเพิ่มค่าตอบแทนต่างๆจนดูเสมือนว่าพนักงานหรือข้าราชการอื่นเป็นบุคคลชั้นสองไปเสีย นอกจากนั้นยังมีการออกระเบียบในด้านสวัสดิการขึ้นมาใหม่ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง ค่ารับรองต่างๆทั้งที่เป็นการปฏิบัติงานตามปกติแท้ๆ
คณะกรรมการการเลือกตั้ง
คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.นั้นในยุคเริ่มแรกก็ทำท่าดีเพราะมีตัวบุคคลที่ดำรงตำแหน่งเป็นที่น่าเชื่อถือและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์จนนักการเมืองพากันขยาดไปตามๆกัน แต่ กกต.ชุดต่อมาความน่าเชื่อถือกลับลดลงจนกระทั่งถึงกับติดคุกติดตารางกันเลยทีเดียว
ในส่วนของโครงสร้างขององค์กรแทนที่จะทำแบบฟิลิปปินส์หรืออินเดียที่ไปลอกเลียนแบบเขามาโดยมีคณะกรรมการไม่กี่คน มีหน้าที่หลักในการจัดการการเลือกตั้งให้เรียบร้อย แต่ กกต.ไทยกลับขยายองค์กรเสียจนใหญ่โตเทอะทะ มี กกต.ที่ส่วนกลางแล้วยัง ไม่พอ ยังมี กกต.จังหวัดอีก รวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ในมือ แต่กลับมีผลงานที่ไร้ประสิทธิภาพ ทั้งที่เจ้าหน้าที่หรือพนักงานของ กกต.เองนั้นมีสิทธิและค่าตอบแทนสูงกว่าข้าราชการทั่วไปเสียอีก และบางรายยังรับถึงสองทางหากเป็นข้าราชการบำนาญ ซึ่งเป็นการเปรียบผู้อื่นอย่าง เห็นได้ช้ด ทั้งๆที่ทำงานให้รัฐเหมือนกัน
ผู้ตรวจการแผ่นดิน
มีการเพิ่มอำนาจจากเดิมให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการเกี่ยวกับจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๒๗๙ วรรคสาม และมาตรา ๒๘๐ ของรัฐธรรมนูญปี ๕๐ ทั้งๆที่ผ่านมาผู้ตรวจการแผ่นดินไม่เคยมีผลงานเป็นที่ประจักษ์เลย เป็นแต่เพียงทางผ่านของเรื่องร้องเรียนทั้งหลายไปยังหน่วยงานต้นสังกัดเสมือนหนึ่งเป็น นายไปรษณีย์เท่านั้น
เรื่องราวต่างๆที่ราษฎรร้องเรียนหรือร้องทุกข์เข้ามา ผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะ ทำหน้าที่เพียงแจ้งให้ต้นสังกัดทราบและให้รายงานกลับไป ได้สถิติจำนวนเท่าใดก็เก็บเอาไว้เป็นผลงานตอนรายงานประจำปีเท่านั้นเอง ซึ่งผิดจากหลักการของการมีผู้ตรวจการแผ่นดินในต่างประเทศที่เรียกว่า Ombudsman อย่าลิบลับ
มิหนำซ้ำผู้ตรวจการแผ่นดิน ๒ ใน ๓ คน ยังมีปัญหาถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ ปปช.ลงมติว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการขึ้นเงินเดือนตัวเอง แต่กลับนั่งอยู่ในตำแหน่งหน้าตาเฉย แล้วอย่างนี้จะไปตรวจสอบจริยธรรมผู้อื่นได้อย่างไรกัน
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
มีการพยายามเสนอกฎหมายให้มีการตั้ง ปปช.จังหวัดเพื่อขยายอาณาจักรของตนเอง ทั้งๆที่ปัจจุบันนี้ ปปช.เองยังมีปัญหาในการบริหารมากมายไม่ว่าจะเป็นในด้านการบริหารคดีที่คั่งค้างนับเป็นหมื่นๆคดี โดยมีอำนาจที่ครอบคลุมผู้กระทำผิดตั้งแต่ภารโรงจนถึงนายกรัฐมนตรี จนทำให้ผู้ถูกสอบสวนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ หมดโอกาสในความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่เพราะต้องรอฟังผลการสอบสวนของ ปปช.
ซึ่งการพยายามขยายอาณาจักรของ ปปช.นี้ก็คงไม่แตกต่างจาก กกต.เท่าใดนัก เพราะผู้ที่จะมาเป็น ปปช.จังหวัดก็คงไม่พ้นข้าราชการเกษียณหรือโอนมานั่นเอง และเชื่อว่า ปปช.จังหวัดนี้เองก็จะเป็นเครื่องซักผ้าที่จะคอยฟอกขาวให้แก่นักการเมืองหรือผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น หรือในทางกลับกันก็จะเป็นการเพิ่มผู้มีอิทธิพลกลุ่มใหม่นอกเหนือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารหรือฝ่ายปกครองในท้องที่โดยตัวของ ปปช.จังหวัดที่มีอำนาจตามกฎหมายอย่างล้นฟ้านั่นเอง
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
แทนที่จะเล่นบทบาทตามอำนาจหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน โดยให้คำปรึกษา แนะนำ และเสนอแนะให้มีการแก้ไขข้อบกพร่องเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน และมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการวินัยทางการเงินและการคลังที่เป็นอิสระเพื่อทำหน้าที่วินิจฉัยการดำเนินการที่เกี่ยวกับวินัยทางการเงิน การคลัง และการงบประมาณ ตามมาตรา ๒๕๓ ของรัฐธรรมนูญ
แต่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งปัจจุบันให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินทำหน้าที่ตามคำประกาศของ คมช.อยู่เพียงคนเดียว(ก็ไม่รู้ว่าเรียกเป็นคณะกรรมการฯได้อย่างไรกัน)กลับไปเล่นบทบาทการปราบปรามการทุจริตแข่งกับองค์กรอื่น มิหนำซ้ำร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน มีการพยายามเพิ่มอำนาจให้ คตง.อย่างมากมาย เทียบเท่ากับ ปปช.ทั้งในด้านการดำเนินคดีอาญาและการลงโทษทางวินัยให้ซ้ำซ้อนกันไปอีก
เรื่องขององค์กรอิสระหรือหน่วยงานอิสระทั้งหลายคงยังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมีอีกหลายองค์กรที่จะต้องถูกวิพากษ์และจะต้องรับฟัง เพราะองค์กรต่างๆนั้น ล้วนแล้วแต่ตั้งขึ้นโดยภาษีของประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง หาใช่ว่าองค์กรอิสระหรือหน่วงยานอิสระทั้งหลายจะสามารถถืออำนาจอธิปไตยเป็นเสมือนหนึ่งรัฐอิสระที่อยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ไม่
--------------------------------------
|
|
|
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1373
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 19:23 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|