|
|
ครั้งที่ 214 7 มิถุนายน 2552 21:19 น.
|
ครั้ง 214
สำหรับวันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน ถึงวันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2552
พรรคการเมืองใหม่
ข่าวการจัดตั้งพรรคการเมืองของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นข่าวสำคัญข่าวหนึ่งที่สร้าง สีสัน ให้กับวงการการเมืองในบ้านเรา ท้ายที่สุดเข้าใจว่าพรรคการเมืองใหม่นี้ใช้ชื่อพรรคการเมืองของตนว่า พรรคการเมืองใหม่
ย้อนหลังไป 2 3 ปี ยังคงจำกันได้ว่าเกิดการชุมนุมต่อต้าน พตท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น การชุมนุมยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน แม้ พตท.ทักษิณฯ จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้วก็ตามการชุมนุมก็ยังคงมีอยู่โดยมีวัตถุประสงค์คือต่อต้าน พตท.ทักษิณฯ และรัฐบาลทุกรัฐบาลที่ มาจาก พตท.ทักษิณฯ การชุมนุมมีหลายบรรยากาศ บางครั้งก็มีคนมาร่วมด้วยมากบางครั้งก็น้อย นอกจากนั้นแล้ว ในการชุมนุมแต่ละครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ ก็มีข้อเรียกร้องต่าง ๆ ออกมามากมายยากที่จะจดจำได้หมด ข้อเรียกร้องเหล่านั้นเข้าใจว่ามีเพียงส่วนน้อยที่มีการนำไปขยายผลและประสบความสำเร็จตามเจตนาของผู้เรียกร้อง ในที่สุด การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ จบลง อย่างสวยงามด้วยการบุกเข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิโดยในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเองศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชนซึ่งก็ทำให้รัฐบาลในขณะนั้นต้องสิ้นสภาพลง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงใช้เหตุการณ์ดังกล่าวเป็น คำตอบ ให้กับการชุมนุมของตนเองว่า การชุมนุมได้บรรลุผลสำเร็จลงแล้ว จากวันนั้น เมื่อพรรคการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ พตท.ทักษิณฯ ไม่ได้เข้าร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงยุติลงไปด้วย
ข่าวการจัดตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทำให้ผมต้องย้อนกลับมาคิดทบทวนถึงการดำเนินงานทางการเมืองในช่วงเวลา 2 3 ปี ที่ผ่านมาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในลักษณะของ การตรวจสอบฝ่ายบริหารโดยภาคประชาชน ซึ่งจริง ๆ แล้วหากย้อนไปดู จุดเริ่มต้น ก็จะพบว่าการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นพัฒนามาจาก ข้อพิพาท ที่มีลักษณะส่วนตัว ที่ต่อมาได้กลายมาเป็น ข้อพิพาท ระหว่างมวลชนกับรัฐบาลในขณะนั้นและ ยกระดับ มาเป็น ข้อพิพาท ระดับชาติ สามารถทำให้ประชาชนจำนวนมากที่มี ความไม่พอใจ รัฐบาลในเรื่องต่าง ๆ เข้ามารวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้อง สิ่งต่าง ๆ ที่ตนประสงค์ จนในท้ายที่สุดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงเกิดขึ้นและกลายเป็นพลังมวลชนที่แข็งแกร่ง ทำให้รัฐบาลอย่างน้อย 3 รัฐบาลต้อง หวั่นไหว และ อยู่ไม่เป็นสุข พลังมวลชนดังกล่าวได้ ก้าวข้าม ความชอบธรรมหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวบทกฎหมายต่าง ๆ จนทำให้เกิดการบุกเข้ายึดสถานที่สำคัญเช่นทำเนียบรัฐบาลซึ่งก็ส่งผลทำให้นายกรัฐมนตรีของไทย 1 คนไม่มีโอกาสเข้าไปนั่งในห้องทำงานของตนตั้งแต่วันที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งไปจนถึงวันพ้นจากตำแหน่ง ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ขบวนการ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้สร้าง จุดร่วม ให้กับประชาชนโดยทำให้คนที่มีความไม่พอใจในรัฐบาล พตท.ทักษิณฯ และคนที่มีความต้องการรัฐบาลจากพรรคการเมืองอื่นเข้ามารวมตัวกันเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันคือขับไล่ พตท.ทักษิณฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องให้ออกไปจากวงการเมือง ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่อย่างน้อยแสดงให้เห็นถึง พลัง ของประชาชนที่มารวมตัวกันในรูปของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เหตุผลสำคัญที่นำมาใช้ในการขับไล่ พตท.ทักษิณฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องให้ออกไปจากวงการเมืองก็คือ การทุจริตคอรัปชั่น การใช้อำนาจในทางมิชอบและการไม่เคารพประโยชน์สาธารณะ ด้วยเหตุผลดังกล่าว การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงได้มีการ นำเสนอ แนวความคิดใหม่ให้กับสังคมด้วยการสร้าง ระบบการเมืองใหม่ ขึ้นมาเพื่อให้ปลอดจาก นักการเมืองน้ำเสีย โดยมี นักการเมืองน้ำดี เข้ามาแทนที่ การเมืองใหม่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น เท่าที่ผมจำได้ ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากนัก เป็นเพียงแต่การนำเสนอแนวคิดอย่างกว้าง ๆ ถึงการมี ผู้แทนประชาชน ที่มีความหลากหลาย มาจากต่าง ๆ สาขาอาชีพ ซึ่งก็เป็นข้อเสนอที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ หักล้าง กับระบบการเมืองในปัจจุบันที่ตัวแทนของประชาชนไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริงและไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เพราะต้องอยู่ภายใต้กฎกติกาของพรรคการเมือง ซึ่งพรรคการเมืองก็เป็นของนายทุน ดังนั้น นักการเมืองในระบบการเมืองเก่าจึงเป็นเพียง ร่างทรงของนายทุน ที่ครอบครองพรรคการเมืองเพื่อก้าวเข้าไปสู่การครอบครองรัฐบาล รัฐสภาและองค์กรต่าง ๆ เพราะฉะนั้นหากจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยโดยเฉพาะปัญหาการทุจริตและใช้อำนาจในทางมิชอบของนักการเมือง ก็จะต้องสร้างระบบ การเมืองใหม่ ขึ้นมาแทนที่ระบบการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน !!
ในวันนี้ แม้แนวคิดเรื่อง การเมืองใหม่ จะพูดกันมานานหลายเดือนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงเป็น ความลับดำมืด อยู่ว่าอะไรคือการเมืองใหม่? ผมไม่แน่ใจว่าในที่สุดแล้ว การไปสู่การเมืองใหม่ในอุดมคติของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเป็นอย่างไรและจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะหากจะบอกว่าภายหลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้วเราเข้าไปสู่ระบบการเมืองใหม่ก็คงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก เพราะเท่าที่เราเห็น การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นไปโดยอาศัยความช่วยเหลือจาก นักการเมืองในระบอบทักษิณ ที่พรรคประชาธิปัตย์เคย ตั้งป้อม รังเกียจเอาไว้ในหลาย ๆ โอกาส การ ยอม ให้มีบุคคลบางคนเข้าไปเป็นรัฐมนตรีทั้ง ๆ ที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่หรือเป็นคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ใด ๆ มาเลย การ ยอม ดังกล่าวเพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้จึงไม่ใช่ส่วนที่เราจะมากล่าวอ้างได้ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันจะเป็นรัฐบาลที่เข้ามาสร้าง การเมืองใหม่ ก็จะเป็นไปได้อย่างไรครับเพราะรัฐบาลอุดมไปด้วยคนจากระบบเก่า มีวิธีคิดแบบเก่า ดังจะเห็นได้จากการ ดื้อดึง ของผู้ร่วมรัฐบาลที่จะนำเสนอโครงการบางโครงการที่นอกจากจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าประเทศชาติและประชาชนจะได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวไม่มากนักแล้ว ยังพอมองเห็นได้ว่าน่าจะมี ใคร ที่ได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวมาก !!! หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีคนหนึ่งไปซึ่งเป็น ใครก็ไม่รู้ เมื่อไม่กี่วันมานี้มาเป็น ใครก็ไม่รู้ อีกคนหนึ่งซึ่งก็ทำให้เราเห็นภาพความสำคัญของกลุ่ม ก๊วนต่าง ๆ ในระบบการเมืองเก่าที่มุ่งเน้นการตอบแทน ตัวบุคคล ด้วยการมอบตำแหน่งให้ มากกว่าเป็นการเอาบุคคลที่มีความชำนาญเข้าสู่ตำแหน่ง เพราะสำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว คนที่จะเข้ามาเป็น เสนาบดี ในแต่ละกระทรวงได้ควรจะเป็น คนพิเศษ ระดับเดียวกับ Superman ในเรื่องนั้น ๆ คือ มีทั้งความรู้และความสามารถทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งและมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับหน่วยงานที่ตนจะเข้าไปทำ ไม่ต้องดูอื่นไกลหรอกครับหากเราลองสังเกตดูตามหน้าหนังสือพิมพ์ในช่วงเวลาที่มีการประกาศรับสมัครผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจ เราก็จะพบว่ามีการกำหนดคุณสมบัติสำหรับตำแหน่งดังกล่าวไว้ใกล้เคียงกัน เช่น ต้องเป็นหรือเคยเป็นรองผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานของรัฐที่เป็นนิติบุคคลมาก่อนและหากมาจากภาคเอกชนก็ต้องเป็นหรือเคยเป็นรองผู้บริหารสูงสุดขององค์กรที่มีรายได้ไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาทต่อปี (กรณีของผู้อำนวยการ อสมท.) รวมไปถึงต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญภาษาต่างประเทศ ฯลฯ นี่แค่คุณสมบัติของผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจนะครับ เราลองมาดูเปรียบเทียบกับผู้บริหารสูงสุดของกระทรวงแล้วกัน เป็นไปได้อย่างไรที่รัฐมนตรีในฐานะเจ้ากระทรวงที่ต้องรับผิดชอบดูแลรัฐวิสาหกิจจะมีคุณสมบัติด้อยกว่าผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในการกำกับดูแลของตนครับ!!! เพราะฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้เช่นกันว่า เมื่อพิจารณา ตัวบุคคล ที่เป็น ตัวละคร ในทางการเมืองในปัจจุบันแล้ว เราคงไม่มีทางไปถึง การเมืองใหม่ ตามแนวความคิดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เป็นแน่ครับ
เราจะไปสู่การเมืองใหม่ได้อย่างไรจึงเป็นเรื่องที่ น่าคิด ในวันนี้ การเมืองใหม่คงไม่สามารถเกิดขึ้นจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนแปลง ที่มา ของสมาชิกรัฐสภาแต่เพียงอย่างเดียว แต่การเมืองใหม่ที่ว่าคือการเอาคนเก่าที่ ไม่ได้เรื่อง ออกไปจากระบบและเอาคนใหม่ที่ ได้เรื่อง เข้ามาแทนที่ คำถามที่สำคัญก็คือจะต้องทำอย่างไรจึงจะเกิด สิ่งนั้น ได้ครับเพราะผมก็เฝ้าติดตาม นักการเมืองหน้าใหม่ ที่เข้ามาสู่วงการเมืองมาหลายรุ่นแล้วก็ไม่ค่อยประทับใจเท่าไรนัก บางคนแม้จะออกตัวดีแต่ไป ๆ มา ๆ แล้วก็ กลายพันธ์ ทุกที ด้วยเหตุนี้เองที่ในวันนี้นักการเมืองในระบบปัจจุบันบางคนแม้จะอายุน้อย เข้ามาสู่วงการการเมืองได้ไม่นาน แต่ลีลาการพูด วิธีการทำงานและวิถีชีวิตก็ดูไม่แตกต่างจากนักการเมืองรุ่นลายครามเลยครับ และนอกจากนี้แล้วหากจะดูองค์ประกอบด้าน จำนวน ของผู้แทนราษฎรที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับเลือกตั้งเข้ามาก็จะพบว่าสร้างปัญหาให้กับการไปสู่ การเมืองใหม่ อยู่มาก คงไม่ต้องไปดูไกล ๆ หรอกครับ ดูแค่การจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมาของพรรคประชาธิปัตย์ก็เห็นภาพชัดแล้วว่า เมื่อเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ไม่เพียงพอสำหรับการจัดตั้งรัฐบาล ก็ต้องใช้วิธี รวม กับพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองอื่น ๆ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้อง กัดฟัน ทำสิ่งดังกล่าวหรือไม่แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ เมื่อ อาศัย เสียงของเขาในการจัดตั้งรัฐบาลก็ต้อง ยอมรับ ในสิ่งที่เขาเสนอมาทั้งหมดไม่ว่าสิ่งนั้นตนจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม สำหรับรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำได้ในส่วนของตัวเองก็คือ จัดสรรคนที่มีความเหมาะสมให้เข้าดำรงตำแหน่งต่าง ๆ และวางกรอบให้ปฏิบัติ แต่ต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลนั้นประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคน หากผู้นำรัฐบาลไม่สามารถ คุม รัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากพรรคการเมืองของตนเองได้ก็คงเป็นเรื่องยุ่ง และคงไม่สามารถที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบร่วมกันของคณะรัฐมนตรีที่อาจเกิดขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากเกิดสิ่งที่ไม่ดีไม่งามขึ้น จุดจบของรัฐบาลก็คงอยู่ไม่ไกลนัก ดังนั้น การเมืองใหม่จึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นง่าย ๆ เพราะตราบใดก็ตามที่พรรคการเมืองไม่มีเสียงข้างมากเด็ดขาดก็คงทำอะไรลำบากเพราะต้องอาศัย ความช่วยเหลือ จากพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองอื่น ๆ โจทย์ใหญ่ที่ พรรคการเมืองใหม่ ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องทำจึงมีอยู่มาก และต้องเร่งระดมการทำอย่างหนักเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หลักที่สำคัญคือ พยายามเป็นพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาผู้แทนราษฎร เริ่มตั้งแต่พยายามรวบรวมมวลชนเข้าด้วยกันและทำให้แนวร่วมของตนที่มีอยู่มากขึ้นกว่าเดิม พยายามสร้างศรัทธาในระบบการเมืองใหม่ด้วยการชี้ให้เห็นจุดด้อยของการเมืองในระบบเดิมและนำเสนอจุดดีของการเมืองใหม่ รวมไปถึงแย่งมวลชนที่สนับสนุนพรรคการเมืองอื่นให้มาสนับสนุนตนเพื่อให้มวลชนเหล่านั้นมาผนึกกำลังกันเลือกคนของพรรคการเมืองใหม่ให้เข้ามาสู่ระบบมาก ๆ ส่วนในเรื่องทุนเลือกตั้งก็เช่นเดียวกัน การให้นายทุนสนับสนุนพรรคการเมืองใหม่ไม่น่าจะเป็น แนวทาง ของพรรคการเมืองใหม่เพราะเคยมีการเสนอว่าหากผู้สนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกว่า 1 ล้านคนบริจาคคนละ 100 บาทต่อเดือน พรรคการเมืองใหม่ก็จะมีทุนในการใช้จ่ายไม่ต่ำกว่าเดือนละ 100 ล้านบาท และก็จะมีลักษณะเป็นพรรคการเมือง ของประชาชน อย่างแท้จริง ส่วนโจทย์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือรายละเอียดของการไปสู่การเมืองใหม่ที่ในวันนี้ควรมีความชัดเจนเป็นรูปธรรมแล้วว่าพรรคการเมืองใหม่จะ เดินทาง อย่างไรเพื่อไปสู่การเมืองใหม่อันเป็น ความฝัน ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยครับ และเพื่อความไม่ประมาท หากพรรคการเมืองใหม่ไม่ได้รับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็คงต้องเตรียมตัวศึกษาให้ดีว่าจะรวมกับพรรคการเมืองใดหรือจะถอยไปเป็นฝ่ายค้าน เพราะหาก รวมผิด พรรคการเมืองใหม่ก็คงจะถึง จุดจบ ภายในเวลาอันรวดเร็วครับ
คงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่ พรรคการเมืองใหม่ จะผ่าน การเมืองเก่า เข้ามาได้ เพราะนอกจากที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ ยังมีปัญหาใหญ่ที่ต้องขบคิดอย่างหนักคือจะทำอย่างไรให้เสียงของ คนรักทักษิณ ซึ่งก็ยังเป็นผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ของประเทศเปลี่ยนมาเทเสียงให้กับพรรคการเมืองใหม่ครับ!!
คำถามที่ยัง คาใจ ผมอยู่และก็ไม่แน่ใจว่ามีใคร เคยถาม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้วหรือยังก็คือ หากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตัดสินใจตั้งพรรคการเมืองซึ่งก็หมายความว่าตัดสินใจที่จะ ต่อสู้ ทางการเมืองในรัฐสภา การต่อสู้บนถนน จะยังคงมีอยู่หรือไม่หากการต่อสู้ในรัฐสภาไม่ประสบผลสำเร็จ! ที่ผมถามก็เพราะกลัวว่า หากพรรคการเมืองใหม่ ทำอะไรในสภา ไม่ได้หรือไม่ก็ แพ้โหวต ในสภา แล้วมาใช้ พลังมวลชน นอกสภาซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคการเมืองใหม่ช่วยกดดันสนับสนุนการดำเนินการของพรรคการเมืองใหม่นอกสภา ความโกลาหลวุ่นวายก็จะเกิดขึ้นและการเมืองไทยก็จะถึงทางตันอีกครั้งหนึ่งครับ!!!
ยังคงมีผู้ทยอยขอหนังสือ รวมบทความกฎหมายมหาชนจากเว็บไซต์ www.pub-law.net เล่ม 7 และเล่ม 8 กันมาเรื่อย ๆ หนังสือยังมีอยู่ครับ ใครที่ยังไม่ได้ขอก็รีบหน่อยก่อนที่หนังสือจะหมดนะครับ
คงจำกันได้ว่า ศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ได้เขียนบทความขนาดยาวเรื่อง คนไทยจะหา ทางออกทางการเมืองได้อย่างไร ลงเผยแพร่ใน www.pub-law.net มาแล้ว 2 ตอน บทความดังกล่าวมีเนื้อหาบางส่วน พาดพิง ถึงรองศาสตราจารย์ ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ซึ่งต่อมาอาจารย์วรเจตน์ฯ ก็ได้เขียนจดหมาย ชี้แจง การถูกพาดพิงดังกล่าวมายังผมเพื่อทราบ ในฐานะบรรณาธิการ ผมเห็นว่าบทความของอาจารย์วรเจตน์ฯ มิได้มีคุณค่าเป็นเพียง จดหมายชี้แจง แต่มีสาระทางวิชาการที่ดีมาก ดังนั้น ผมจึงขออนุญาตอาจารย์วรเจตน์ฯ นำจดหมายชี้แจงการถูกพาดพิงดังกล่าวลงเผยแพร่ใน website ในรูปแบบของ บทความ ครับ นอกจากนี้เรายังมีบทความอีกหนึ่งบทความมานำเสนอ คือบทความเรื่อง "ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550" ของ คุณฌานิทธิ์ สันตะพันธุ์ ผมต้องขอขอบคุณเจ้าของบทความทั้งสองไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ครับ
ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์
|
|
|
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1365
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 13:28 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|
|