|
|
ครั้งที่ 211 26 เมษายน 2552 22:45 น.
|
ครั้งที่ 211
สำหรับวันจันทร์ที่ 27 เมษายน ถึงวันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2552
การปราบจลาจล
ผมมาอยู่ประเทศฝรั่งเศสได้เกือบสองสัปดาห์แล้วครับ โดยในครั้งนี้ผมมาเป็น visiting professor ที่มหาวิทยาลัย Bretagne Occidentale ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Brest ครับ ตอนนี้ก็เริ่มคุ้นเคยกับเมืองแล้วครับเพราะเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก ส่วนงานก็มีบรรยายไปแล้ว 1 ครั้ง สัมมนาโต๊ะกลมกับบรรดาอาจารย์ด้านกฎหมายปกครองท้องถิ่น 1 ครั้งแล้วก็ให้คำแนะนำนักศึกษาระดับปริญญาเอกชาวฝรั่งเศสที่ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับระบบศาลปกครองเปรียบเทียบครับ
ก่อนที่ผมจะออกจากประเทศไทยมา เป็นช่วงเวลาของความโกลาหลวุ่นวายที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ที่ผมคงไม่อยากพูดถึงเท่าไรนักเพราะเป็นสิ่งที่สร้างความสูญเสียทุก ๆ ด้านให้กับประเทศไทยและคนไทยในภาพรวม เมื่อมาถึงประเทศฝรั่งเศสก็เป็นอย่างที่คิดคือคนที่รู้ว่าเรามาจากประเทศไทยก็พยายามสอบถามถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเราโดยผมเจอตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าประเทศฝรั่งเศสเลยครับ ตำรวจที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองคุยกับผมอยู่ 2-3 นาทีถึงความเป็นไปในบ้านเราด้วยความห่วงใย เพราะเคยไปเที่ยวเมืองไทยมาหลายครั้งและประทับใจในความ ใจดี ของคนไทย อยู่ที่ Paris สองวันก็มีคนถามกันหลายคนซึ่งส่วนใหญ่คนที่ถามก็เป็นคนที่เคยไปเมืองไทยมาแล้วเช่นกัน เมื่อผมเดินทางมาถึงเมือง Brest ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีกเพราะบรรดาอาจารย์ที่ได้มีโอกาสพบปะเจอะเจอต่างก็อยากรู้อยากเห็นในสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ถ่ายทอดผ่านจอโทรทัศน์ไปว่าความจริงเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ การจลาจล ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในกรุงเทพฯ แล้วผู้มีอำนาจในการดำเนินการก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างเด็ดขาดนอกจากถือโล่เดินเข้าไป ภาพที่คนต่างชาติเห็นก็คือผู้รักษากฎหมายไม่ได้ทำทุกวิถีทางเพื่อห้ามปรามการกระทำรุนแรงที่เกิดขึ้นในบ้านเราครับ
ประเด็นเรื่อง การปราบจลาจล เป็นประเด็นที่ผมได้รับฟังจากคนที่ได้มีโอกาสพูดคุยด้วยที่ฝรั่งเศสและเป็นประเด็นที่ผมอยากจะขอหยิบยกมาพูดคุยกันในบทบรรณาธิการครั้งนี้โดยมิได้มุ่งหวังที่จะตำหนิติเตียนผู้ใดทั้งสิ้น รวมทั้งมิได้หวังที่จะ ยุงยง ให้มีการ ใช้กำลัง ในการปราบการจลาจล ความมุ่งหมายของผมก็คือต้องการให้ สังคม ทำความกระจ่างกับ การชุมนุมสาธารณะ ซึ่งเป็นสิทธิของประชาชนภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญกับ การจลาจล ที่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและมิใช่สิ่งที่ประชาชนพึงทำครับ!!!
ในเรื่องของ การชุมนุมสาธารณะ นั้น ผมคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดถึงในที่นี้อีกเพราะได้เคยอธิบายพร้อมยกตัวอย่างของบางประเทศไปแล้วในบทบรรณาธิการ 2 ครั้ง ครั้งแรกคือบทบรรณาธิการครั้งที่ 189 ซึ่งเผยแพร่ในระหว่างวันที่ 23 มิถุนายนถึง 6 กรกฎาคม 2551 และครั้งที่สองคือบทบรรณาธิการครั้งที่ 193 ซึ่งเผยแพร่ในระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม ถึง 31 สิงหาคม 2551 บทบรรณาธิการทั้ง 2 ครั้งได้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของประเทศไทยที่จะต้องมีกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะซึ่งก็มีผู้ขานรับกันมากแต่ก็ไม่ได้ ขยับ กันอย่างจริงจัง คงมีนักวิชาการ บางคน ที่นำเอาเรื่องการชุมนุมสาธารณะไปพูด ไปขยายต่อ รวมทั้งมี website ต่าง ๆ นำแนวความคิดดังกล่าวไปใช้กันมากมาย เพราะฉะนั้นใครที่สนใจเรื่องการชุมนุมสาธารณะก็ลองไปอ่านดูได้ในบทบรรณาธิการทั้งสองครั้งที่กล่าวไปแล้วนะครับ
ที่ผมอยากจะกล่าวถึงจริง ๆ ในบทบรรณาธิการครั้งนี้อยู่ที่ประเด็นของ การปราบจลาจล มากกว่าครับ ก่อนที่จะไปดูเหตุการณ์ของประเทศไทยผมจะขอเล่าสิ่งที่ผมได้รับฟังมาจากอาจารย์ด้านกฎหมายของฝรั่งเศส 3 คนที่นั่งคุยกันเย็นวันหนึ่ง โดยคำถามของผมอยู่ที่ว่า หากเกิดเหตุจลาจลวุ่นวายขึ้นในฝรั่งเศส มีประชาชนออกมาปิดการจราจร เผารถเมล์บนทางสาธารณะ นำรถบรรทุกแก๊สมาขวางทางจราจรพร้อมขู่จะระเบิดดังกล่าว การแก้ปัญหาจะเป็นอย่างไร เพื่อนอาจารย์ได้เล่าให้ฟังผลสรุปได้ว่าในฝรั่งเศสนั้น อำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม (public order) เป็นของผู้ว่าการจังหวัด (préfet) ซึ่งเป็นข้าราชการจากส่วนกลางที่ถูกส่งไปประจำยังจังหวัดต่าง ๆ อำนาจของผู้ว่าการจังหวัดในเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมกำหนดไว้ในกฎหมาย 2 ฉบับที่สำคัญ ๆ คือในประมวลกฎหมายท้องถิ่นซึ่งเป็น อำนาจทั่วไป ของผู้ว่าการจังหวัดในเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมและในกฎหมายเก่าอีกฉบับหนึ่งซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับ สถานการณ์ฉุกเฉิน (un état durgence) ที่ออกมาตั้งแต่ คศ.1955 และถูกต่ออายุเรื่อยมาทำให้มีผลใช้บังคับมาจนปัจจุบัน กฎหมายฉบับหลังมีความสำคัญมากเพราะเป็น เครื่องมือ ที่ฝ่ายปกครองนำมาใช้ในการแก้ปัญหาความวุ่นวายของบ้านเมืองนอกเหนือไปจาก กฎหมายอาญา ที่ผู้ว่าการจังหวัดนำมาใช้ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมครับ สาระสำคัญของกฎหมายฉบับหลังนี้ก็คือ เมื่อมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้น คณะรัฐมนตรีมีอำนาจออกรัฐกฤษฎีกาประกาศให้พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งหรือทั้งประเทศอยู่ภายใต้ สถานการณ์ฉุกเฉิน ได้โดยจะต้องระบุเขตที่กำหนดให้อยู่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินไว้อย่างชัดเจนในรัฐกฤษฎีกาดังกล่าวด้วย การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลนั้นกฎหมายให้ประกาศกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินได้ไม่เกิน 12 วัน แต่ถ้าหากรัฐบาลต้องการขยายระยะเวลาให้มากกว่านั้นก็จะต้องไปออกเป็นรัฐบัญญัติ (พระราชบัญญัติ) ต่อไป ส่วนผลของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น กฎหมายฉบับดังกล่าวได้ให้อำนาจผู้ว่าการจังหวัดไว้หลายประการ เช่น การประกาศกำหนดห้ามการเดินทางของทั้งคนและยานพาหนะในพื้นที่ดังกล่าวตามเวลาที่กำหนด การห้ามเข้าในบางพื้นที่ การปิดสถานที่บางแห่ง เช่น โรงมหรสพ บาร์ การห้ามขายเครื่องดื่ม การห้ามชุมนุม รวมไปถึงการค้นเคหสถานและการตรวจค้นอาวุธต่าง ๆ หากมีการกระทำใดที่ฝ่าฝืนเจ้าหน้าที่ของรัฐก็สามารถดำเนินการกับผู้ฝ่าฝืนได้ตามกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคง เป็นต้น ประเทศฝรั่งเศสได้นำเอากฎหมายเกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉินมาใช้เมื่อมีความวุ่นวายเกิดขึ้นในชานเมือง Paris เมื่อเดือนตุลาคม คศ. 2005 ซึ่งนาย Nicolas Sarkozy รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นก็ได้ออกหนังสือเวียนจำนวน 7 หน้าอธิบายขั้นตอนและวิธีการในการดำเนินการของผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมทั้งกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นฐานอำนาจของการปฏิบัติการแก้ไขความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเวียนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและข้ารัฐการในพื้นที่ที่อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินทราบเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติครับ ผมได้เอกสารดังกล่าวมาจากเพื่อนอาจารย์คนหนึ่ง(เป็นภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งหากใครสนใจ ก็มาขอถ่ายสำเนาได้ครับ
กล่าวโดยสรุปก็คือ หากมีความวุ่นวายเกิดขึ้นในฝรั่งเศสก็เป็นเรื่องที่ผู้ว่าการจังหวัดมีอำนาจในการเข้าไปแก้ไขโดยใช้กฎหมายที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงหรือกฎหมายอาญา หากเป็นเรื่องใหญ่โต คณะรัฐมนตรีก็จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ที่มีความวุ่นวาย ซึ่งกฎหมายเกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉินก็ได้กำหนดมาตรการต่าง ๆ เอาไว้มากมายขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของเหตุการณ์ รวมไปถึงการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ซึ่งจะต้องผ่านการพิจารณาของผู้มีอำนาจเช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่จะเป็นผู้กำหนด ประเภท ของอาวุธที่จะนำมาใช้ในการ แก้ไข ความวุ่นวายดังกล่าวด้วยครับ
ย้อนกลับมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเราเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมากันบ้าง ทุกครั้งที่มีการชุมนุมเกิดขึ้นในบ้านเรา ฝ่ายที่ชุมนุมก็จะต้อง ท่องคาถา ที่สำคัญเพื่อป้องกันตนเองเอาไว้ก่อน คาถาที่ว่าก็คือมาตรา 63 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่กล่าวว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ การกำจัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ และเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก การนำบทบัญญัติในมาตรา 63 แห่งรัฐธรรมนูญดังกล่าวมาใช้เพื่อสนับสนุนการ ชุมนุม ของตนเองนั้นผมไม่ทราบว่าผู้ชุมนุม ทุกฝ่าย คิดอย่างไรหรือมองบทบัญญัติดังกล่าวอย่างไร เพราะสำหรับผมนั้นหากเรามีกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะดังเช่นในบางประเทศ บทบัญญัติในมาตรา 63 ก็จะมีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะการชุมนุมโดยสงบย่อมต้องไม่กีดขวางหรือปิดกั้นทางสัญจรของประชาชนทั่วไปหรือการบุกเข้ายึดสถานที่ราชการ หรือทำลายข้าวของของทางราชการครับ
ปัญหาประการแรกของประเทศไทยจึงอยู่ตรงที่ว่าเราไม่มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมสาธารณะ เมื่อมีการชุมนุมเกิดขึ้นจึง ขาดระเบียบ ทุกคนทำตามอำเภอใจ นึกอยากจะ ดาวกระจาย ไปที่ไหนก็ทำได้หมดโดยไม่สนใจว่าจะทำให้ใครเดือดร้อนหรือจะสร้างปัญหาให้กับการจราจรในพื้นที่ต่าง ๆ หรือไม่ ใครมีอาวุธ ใครไปทำความวุ่นวาย ก็บอกว่าไม่ใช่ผู้ชุมนุมในกลุ่มของตัวเองบ้าง เป็นฝ่ายตรงข้ามแฝงตัวเข้ามาบ้าง เป็นมือที่สามบ้าง การไม่มีกฎหมายดังกล่าวจึงน่าจะส่งผลร้ายให้กับการชุมนุมสาธารณะมากกว่าผลดีครับ เพราะหากเรามีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะเช่นในบางประเทศ เราก็จะพบว่ามี ผู้นำ ของการชุมนุมที่ถูกต้อง มีคนรับผิดชอบ มีคนจัดระเบียบในการชุมนุม มีความ สมานฉันท์ ระหว่างผู้ชุมนุมกับประชาชนอื่น ๆ ที่ใช้ทางสัญจรหรือพักอาศัยทำงานอยู่ในพื้นที่ที่มีการชุมนุม รวมทั้งมีการระมัดระวังร่วมกันเพื่อไม่ให้ การชุมนุมสาธารณะ เปลี่ยนสภาพเป็น การจลาจล ในที่สุดครับ ดังนั้น น่าจะถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยเราควรจะทำการศึกษากันอย่างจริงจังเสียทีถึงการมีกฎหมายเพื่อจัดระเบียบการชุมนุมสาธารณะครับ
ปัญหาประการต่อมาของประเทศไทยก็คือ การสลายการชุมนุมที่ผิดกฎหมายจะทำกันอย่างไร คงจำกันได้ว่าการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2551 นั้นได้ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาอย่างมากมายในสังคม (ยิ่งจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบอย่างเป็นทางการที่ชัดเจนว่าการที่มีคนตายจากการสลายการชุมนุมนั้นเกิดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธผิดประเภทดังที่กล่าวอ้างกันหรือไม่) ปัญหาดังกล่าวถูกนำไปสู่การพิจารณาของศาลปกครอง โดยผู้ฟ้องคดีได้ขอให้ศาลปกครองสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐยุติการใช้อาวุธต่อผู้เข้าร่วมชุมนุมพร้อมทั้งขอให้กำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองโดยห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อาวุธหรือใช้ความรุนแรงเข้าสลายการชุมนุมเป็นการชั่วคราวด้วย ซึ่งต่อมาศาลปกครองกลางก็ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ออกมา โดยคำสั่งดังกล่าวมีสาระสำคัญ 2 ส่วนด้วยกัน โดยในส่วนแรกนั้น ศาลปกครองกลางเห็นว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นการดำเนินการที่ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบอันจะได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 63 แห่งรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับการสลายการชุมนุมนั้น คำสั่งศาลปกครองกลางก็ได้กล่าวไว้ว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อสลายการชุมนุมจะต้องกระทำเท่าที่จำเป็น โดยคำนึงถึงความเหมาะสม มีลำดับขั้นตอนตามหลักสากลที่ใช้ในการสลายการชุมนุมของประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อาจดำเนินการตามอำเภอใจได้ ในส่วนหลังของคำสั่งดังกล่าวจึงกลายมาเป็น คาถาใหม่ ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ของผู้ชุมนุมและของสื่อมวลชนที่ถูกนำมาอ้างใช้ในการชุมนุมในเวลาต่อมาครับ
ผมพยายามสอบถาม ผู้รู้ หลาย ๆ คนทั้งที่เป็นคนไทยและคนต่างชาติว่าอะไรคือ หลักสากลที่ใช้ในการสลายการชุมนุม ที่ปรากฏอยู่ในคำสั่งศาลปกครองกลาง ก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนจากใครทั้งนั้นครับ ผมคงไม่ขอพูดถึงเรื่องดังกล่าวมากนักเพราะเกรงจะ เกิดภัย กับตนเอง คงจะขอพูดสั้น ๆ ว่าบ่อยครั้งที่เราพบคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ ไม่จบ ในตัวเอง คือ ผู้รับคำสั่งต้องไป หาทาง กันต่อว่าจะทำอย่างไรกันต่อไปภายหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว (เช่นกรณี กฟผ. และการแต่งตั้งข้าราชการกรมสรรพากร) ทั้ง ๆ ที่มาตรา 68 (8) แห่งกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองก็ให้อำนาจศาลที่จะมี ข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา เอาไว้แล้ว ซึ่งผมมองว่ากรณี หลักสากลที่ใช้ในการสลายการชุมนุม ก็เป็นเช่นเดียวกับกรณีอื่น ๆ ที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องตีความกันเอาเองว่าคืออะไร เพราะฉะนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อไปการสลายการชุมนุม ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมที่ไม่ร้ายแรง ร้ายแรงและถึงขั้นจลาจลดังเช่นที่เกิดขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจึง ท่องคาถา เหมือนๆ กันหมดคือต้องสลายการชุมนุมโดยหลักสากล เริ่มจากประกาศเตือน ฉีดน้ำฯลฯ ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำอย่างไรจึงจะให้เกิดความเข้าใจที่ต้องตรงกัน หากมีการชุมนุมโดยสงบแต่กีดขวางทางจราจร แน่นอนครับที่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจจะต้องประกาศเตือนให้ยุติการกระทำดังกล่าวก่อน หากไม่ฟังก็ต้องเพิ่มมาตรการต่างๆ ให้มากขึ้นตามลำดับ แต่ถ้าหากเป็นการชุมนุมที่มีลักษณะของการก่อการจลาจล เผารถเมล์ เผายางรถยนต์บนถนน หลักสากลที่ใช้ในการสลายการชุมนุม คงไม่ใช่เช่นที่ทำกันในช่วงเวลาที่ผ่านมานะครับ เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องคงต้องดำเนินการขัดขวางและห้ามปรามอย่าง ทันที เพื่อมิให้เกิดการทำลายทรัพย์สินของทางราชการ หาไม่แล้วเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวก็จะเป็นผู้ทำผิดกฎหมายเสียเองด้วยการ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งก็คงไม่ใช่เฉพาะเหตุการณ์เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาเหตุการณ์เพียงเหตุการณ์เดียวที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยอ้าง หลักสากลที่ใช้ในการสลายการชุมนุม เพราะในกรณีการยึดทำเนียบรัฐบาลและการยึดสนามบินก็เป็นเช่นเดียวกันครับ!!!
ปัญหาประการหลังนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้อง ทำความเข้าใจ กันใหม่แล้วว่า การสลายการชุมนุม กับ การปราบจลาจล นั้นเป็นคนละเรื่องกัน เมื่อไรก็ตามที่มีการกระทำที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม เกิดความรุนแรงขึ้นในบ้านเมืองหรือมีเหตุการณ์ร้ายแรงที่กระทบต่อประโยชน์สาธารณะ การนั้นไม่ใช่การชุมนุมอย่างสงบตาม มาตรา 63 แห่งรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอนครับ คงจะไม่สามารถนำหลักเกณฑ์เดียวกันนั้นมาใช้กับการกระทำทั้ง 2 อย่างได้ครับ
ก็ต้องฝากเอาไว้ให้ผู้เกี่ยวข้อง ขยายความ ให้ทราบโดยทั่วกันว่าอะไรคือ หลักสากลที่ใช้ในการสลายการชุมนุม และหลักดังกล่าวจะนำมาใช้กับการชุมนุมประเภทใด ลักษณะใดบ้าง ส่วน การปราบจลาจล ก็เช่นเดียวกัน น่าจะมีการแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันว่าหากเกิดการจลาจลขึ้นมาแล้ว เจ้าหน้าที่ของรัฐจะทำอย่างไรเพื่อที่จะทำให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ความสงบได้อย่างรวดเร็วครับ
ก่อนจบบทบรรณาธิการครั้งนี้ ผมอยากจะขอแสดงความรู้สึก ลึก ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเราในช่วงเวลา 2 - 3 ปีที่ผ่านมาด้วยความห่วงใยว่าปัญหาที่เกิดขึ้น น่าจะ ยากที่จะเยียวยาแก้ไขได้ง่าย ๆ เพราะดูแล้วไม่มีใครมี พลัง มากพอที่จะเข้าไปแก้ปัญหาดังกล่าวได้ จะให้ทุกฝ่ายประนีประนอมกันก็คงยากเพราะในวันนี้ความแตกแยกได้พัฒนาไปสู่ความเคียดแค้น การตอบโต้ ซึ่งในที่สุดแล้วความสงบก็คงเป็นสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้ ในสังคม เราคงหลีกเลี่ยงความวุ่นวายต่าง ๆ ไม่ได้ คงต้องระมัดระวังกันว่า ปัญหาใหม่ จะเกิดขึ้นเมื่อไร และอย่างไรเท่านั้นเองครับ ส่วนความพยายามที่จะแก้ปัญหาด้วยการปฏิรูปการเมืองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คงไม่ใช่ทางออกสำหรับประเทศไทยเช่นกัน เพราะไม่มีใครยืนยันได้ว่า หากทำการปฏิรูปการเมืองหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วจะทำให้ประเทศเราดีขึ้นจริงหรือไม่ นักการเมืองจะดีขึ้น ไม่โกงหรือไม่ ทหารจะทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ ข้าราชการประจำ จะไม่ เข้าขา กับนักการเมืองบางประเภทหรือไม่ ตุลาการจะไม่ ภิวัตน์ หรือไม่ รวมไปถึงประชาชนจะยังคงได้สิทธิเสรีภาพตามความเป็นจริงหรือไม่ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้คงไม่ใช่คำตอบที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิรูปการเมืองหรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอนครับ!!!
ในสัปดาห์นี้ เรามีปัญหากับระบบ mail ของ webmaster ซึ่งทำให้เราไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีผู้ส่งบทความมาให้เรานำเสนอหรือไม่ ดังนั้น ในครั้งนี้เราจึงไม่มีบทความใหม่มานำเสนอครับ
พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ครับ
ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์
|
|
|
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1356
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 13:47 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|