บทวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ:ศึกษากรณีปัญหาความขัดแย้งเรื่องเขตอำนาจศาลระหว่างศาลรัฐธรรมนูญกับศาลปกครอง ตอนแรก

20 ธันวาคม 2547 16:12 น.

       บทนำ
                   
       โดยที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ได้บัญญัติให้มีองค์กรตรวจสอบองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐขึ้นหลายองค์กร ทั้งองค์กรที่เป็นองค์กรตุลาการ และองค์กรที่ไม่ใช่องค์กรตุลาการ เช่น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เป็นต้น โดยที่มีองค์กรตรวจสอบองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐหลายองค์กร ดังนั้น การที่เกิดปัญหาเรื่องความขัดแย้งกันในเรื่องเขตอำนาจ จึงเป็นปัญหาพื้นฐานที่อาจเกิดขึ้นได้ในส่วนขององค์กรตุลาการด้วยกันนั้น รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ในการชี้ขาดกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร หรือศาลอื่น ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 248 ของรัฐธรรมนูญ แต่อย่างไรก็ตาม คำว่า "ศาลอื่น" ตามมาตรา 248 ของรัฐธรรมนูญ ไม่รวมถึงกรณีที่ศาลต่างมีความขัดแย้งกับศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น โดยหลักพื้นฐานแล้ว กรณี
       ที่มีปัญหาความขัดแย้งในเรื่องเขตอำนาจระหว่างศาลรัฐธรรมนูญกับศาลอื่น ๆ องค์กรที่มีอำนาจ
       ในการชี้ขาดเรื่องดังกล่าวคือ ศาลรัฐธรรมนูญเอง หากมีปัญหาดังกล่าวขึ้นมาสู่การพิจารณาของ
       ศาลรัฐธรรมนูญโดยเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรผ็มีอำนาจชี้ขาดกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ
       มีปัญหาความขัดแย้งกับเขตอำนาจศาลอื่นนี้เอง ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องระมัดระวังในการ
       ชี้ขาดเรื่องดังกล่าว โดยศาลรัฐธรรมนูญจะต้องคำนึงถึงการไม่ขยายขอบเขตอำนาจของตนเอง
       หรือจะต้องไม่ตีความไปในทิศทางที่ขยายเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ และโดยเหตุที่ไม่มี
       องค์กรสามารถควบคุมตรวจสอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ บทความในทางวิชาการชิ้นนี้
       จึงทำหน้าที่ในการศึกษาวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเฉพาะในส่วนที่มีความสัมพันธ์
       เกี่ยวกับเขตอำนาจของศาลปกครองเท่านั้น โดยอาจแบ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีผล
       กระทบต่อเขตอำนาจศาลปกครองอยู่ 2 ฉบับ ดังนี้ คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 4/2541
       เรื่อง ประธานรัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับวาระการ
       ดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาเทศบาล และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 24/2543
       เรื่อง ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ก่อนประกาศผล
       การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
       1. คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 4/2541 เรื่อง ประธานรัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ
       พิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภา
       เทศบาล

       1.1 ข้อเท็จจริงโดยสรุปและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
                   
       ในเรื่องนี้มีข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ขอให้
       ประธานรัฐสภาเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับวาระ
       การดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาเทศบาล ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 16
       วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติให้สมาชิกสภาเทศบาลอยู่ในตำแหน่งได้คราวละห้าปี แต่รัฐธรรมนูญ
       มาตรา 285 วรรคห้า บัญญัติให้สมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น
       มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี เรื่องนี้คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า เป็นกรณีที่
       พระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติดังกล่าวจึงใช้บังคับมิได้
       ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 วาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาเทศบาลที่ได้รับเลือกตั้งก่อน
       รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 285 วรรคห้า แต่สมาคมสันนิบาต
       แห่งประเทศไทยเห็นว่า ถ้ากฎหมายใดมีผลย้อนหลังเป็นโทษย่อมไม่มีผลใช้บังคับ สมาชิกสภา
       เทศบาลที่ได้รับเลือกตั้งก่อนรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ จึงควรมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ
       ห้าปี
                   
       ในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณา 2 ประเด็น ประเด็นแรกเกี่ยวกับ
       ความเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญของเทศบาล และประเด็นที่สอง สมาชิกสภาเทศบาลซึ่งได้รับ
       การเลือกตั้งก่อนวันที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับจะมีวาระการดำรงตำแหน่งกี่ปี สำหรับประเด็น
       ที่หนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่าพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
       พ.ศ. 2534 มาตรา 70 ได้บัญญัติให้เทศบาลเป็นการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
       ดังนั้น เทศบาลจึงเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหมวด 9 ของรัฐธรรมนูญ เมื่อมีปัญหา
       เกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาเทศบาลว่าจะมีวาระตามที่กำหนดในมาตรา 16
       วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 หรือจะมีวาระตามที่กำหนดในมาตรา 285
       วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญ จึงเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ และ
       โดยที่ปัญหาดังกล่าวประธานรัฐสภาได้เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 266
       ของรัฐธรรมนูญ จึงรับไว้พิจารณา สำหรับประเด็นที่สอง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า
       พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติให้สมาชิกสภาเทศบาล
       อยู่ในตำแหน่งได้คราวละห้าปี จึงเป็นบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและไม่มีผลใช้บังคับ
       ตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับกรณีนี้มิใช่เป็นเรื่องกฎหมายที่มีผลย้อนหลัง แต่เป็น
       เรื่องกฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
       1.2 ผลกระทบจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 4/2541
                   
       จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เทศบาล เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ตาม
       มาตรา 266 ของรัฐธรรมนูญ ก่อให้เกิดผลกระทบดังนี้
                   
       (1) เมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เทศบาล สภาตำบล ฯลฯ) เป็นองค์กรตาม
       รัฐธรรมนูญตามมาตรา 266 และต่อไปภายหน้าเมื่อได้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นจะก่อให้เกิด
       ปัญหาเรื่องเขตอำนาจระหว่างศาลปกครองกับศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ เพราะตามมาตรา 276
       ของรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่าง
       หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับ
       บัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ
       รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแล
       ของรัฐบาลด้วยกัน ..." ดังนั้น กรณีตามมาตรา 276 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหนึ่งอาจมี
       ความขัดแย้งกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีกแห่งหนึ่งได้ ถ้าถือตามหลักคำวินิจฉัยของศาล
       รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว จะต้องถือว่าเป็นกรณีที่เป็นความขัดแย้งระหว่างองค์กรตาม
       รัฐธรรมนูญกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 266 ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ
       กรณีจึงก่อให้เกิดความขัดแย้งในเรื่องเขตอำนาจศาลกับศาลปกครองตามที่บัญญัติไว้ใน
       มาตรา 276 ของรัฐธรรมนูญ
                   
       (2) หากตีความว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ นอกจาก
       จะไม่สอดคล้องกับระบบศาลคู่ที่ให้ศาลปกครองมีอำนาจวินิจฉัยเกี่ยวกับข้อพิพาททางปกครอง
       ซึ่งรวมถึงกรณีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว
       ยังทำให้หลักเรื่องอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญนั้นเข้าใกล้หลัก Gerneralkfousel หรือหลัก
       ที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญเป็นการทั่วไป ซึ่งขัดกับหลักพื้นฐานในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่
       ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะต้องมีการระบุไว้โดยชัดแจ้ง (Enumerationsprinzip) เพราะเมื่อศาล
       รัฐธรรมนูญตีความว่า องค์กรที่รัฐธรรมนูญกล่าวถึงในรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
       จึงเท่ากับทำให้เขตอำนาจศาลครอบคลุมอย่างกว้างขวาง การตีความดังกล่าวจึงเป็นการตีความ
       ที่มีผลทำให้เป็นการขยายเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
       1.3 บทวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 4/2541
                   
       โดยที่ผู้เขียนได้เคยวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาแล้ว1 ดังนั้น
       จึงไม่ขอกล่าวรายละเอียด แต่ขอกล่าวโดยสรุปว่า หากพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของการเป็น
       องค์กรตามรัฐธรรมนูญแล้ว เทศบาลอาจจะเข้าเงื่อนไขในการเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
       เฉพาะในแง่รูปแบบ (foruelle Kriterien) เท่านั้น กล่าวคือ การก่อตั้งและอำนาจหน้าที่นั้นได้มี
       การบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่หากพิจารณาเกณฑ์ในทางเนื้อหา (substantielle
       Kriterien) แล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่เข้าเงื่อนไขของหลักเกณฑ์ในทางเนื้อหา เพราะ
       องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นองค์กรทางพื้นที่ที่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนในการใช้อำนาจของรัฐ
       ในลักษณะที่เป็นการควบคุมตรวจสอบองค์กรอื่นใดทั้งสิ้น และในแง่ความสัมพันธ์กับองค์กร
       อื่นนั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้การควบคุมกำกับของกระทรวง
       มหาดไทย ดังนั้น ในแง่ของหลักเกณฑ์ในทางเนื้อหาแล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงไม่ใช่
       องค์กรตามรัฐธรรมนูญ
                   
       แต่อย่างไรก็ตาม ต่อมาองค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด และ
       เทศบาล เสนอเรื่องพร้อมความเห็นรวมห้าคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตาม
       รัฐธรรมนูญ มาตรา 266 ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า2 ประเด็นแห่งคำร้องตามคำร้อง
       ทั้งห้า มีความเกี่ยวเนื่องกัน จึงรวมการพิจารณาเข้าด้วยกัน และมีประเด็นเบื้องต้นที่ศาล
       รัฐธรรมนูญต้องพิจารณา คือ ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องทั้งห้าไว้พิจารณาวินิจฉัยตาม
       รัฐธรรมนูญ มาตรา 266 ได้หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า องค์กรตาม
       รัฐธรรมนูญ มาตรา 266 ที่จะเสนอเรื่องพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้นั้น
       หมายถึง องค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐธรรมนูญและกำหนดอำนาจหน้าที่ไว้ในรัฐธรรมนูญ
                   
        ศาลรัฐธรรมนูญยังได้วินิจฉัยต่อไปว่า สำหรับองค์การบริหารส่วนตำบล องค์การ
       บริหารส่วนจังหวัด และเทศบาล มีฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยรัฐธรรมนูญ
       มาตรา 283 บัญญัติให้ท้องถิ่นที่ปกครองตนเองได้ย่อมมีสิทธิได้รับจัดตั้งเป็นองค์กรปกครอง
       ส่วนท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ เห็นได้ว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น
       จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติต่างๆ มิได้จัดตั้งขึ้นโดยรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องอำนาจหน้าที่ของ
       องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ย่อมเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนด
       อำนาจหน้าที่ขององค์กรเหล่านั้นไว้โดยตรง ทั้งองค์กรดังกล่าวอาจยุบเลิกหรือเปลี่ยนแปลง
       ได้เสมอตามที่จะมีกฎหมายบัญญัติ เมื่อองค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด
       และเทศบาล มิใช่องค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐธรรมนูญ อีกทั้งมิได้มีบทบาทและอำนาจหน้าที่หลัก
       ตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่อาจเสนอเรื่องพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตาม
       รัฐธรรมนูญ มาตรา 266 ได้
       2. คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 24/2543 เรื่อง ระเบียบคณะกรรมการเลือกตั้ง
       ว่าด้วยการสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา
       (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

       2.1 สรุปข้อเท็จจริงและคำวินิจฉัยของศาลรัธรรมนูญ
                   
        ในเรื่องนี้มีข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาได้รับหนังสือร้องเรียน
       จากผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดอุดรธานีว่า การที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง
       (ก.ก.ต.) ออกระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ก่อนประกาศ
       ผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2543 ข้อ 3
       เพิ่มความเป็น ข้อ 6 ทวิ ของระเบียบดังกล่าว ความว่า "ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง
       ไม่ประกาศผลการเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ใดเกินกว่าหนึ่งครั้ง คณะกรรมการ
       การเลือกตั้งอาจวินิจฉัยโดยใช้คะแนนเสียงเอกฉันท์ให้ถือว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้นั้นมิได้เป็น
       ผู้สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งใหม่อีก" และ ก.ก.ต. ได้อาศัยระเบียบดังกล่าวสั่งให้ผู้สมัคร
       รับเลือกตั้งดังกล่าวไม่เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาใหม่ ซึ่งผู้สมัครรับเลือกตั้งดังกล่าว
       เห็นว่าระเบียบดังกล่าวขัดกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 โดยชัดแจ้ง จึงมีหนังสือร้องเรียนมายัง
       ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเพื่อขอให้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 198 เสนอเรื่อง
       พร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
       ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่ปรากฏว่ารัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นใดให้อำนาจ ก.ก.ต. ตัดสิทธิ
       ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ดังนั้น การที่ ก.ก.ต. อาศัย พระราชบัญญัติประกอบ
       รัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 มาตรา 10 (7) ออกระเบียบ
       คณะกรรมการการเลือกตั้งฯ จึงน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
                   
        ในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาในเบื้องต้นว่า การที่
       ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเสนอเรื่องพร้อมความเห็นเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
       เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 198 วรรคหนึ่ง หรือไม่ ในประเด็นนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ
       วินิจฉัยว่า ระเบียบ ก.ก.ต. ฉบับดังกล่าว เป็นระเบียบที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความใน
       พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 มาตรา 10 (7)
       และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 3
       ได้นิยามคำว่า "กฎ" หมายความว่า "พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง
       ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ หรือบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไปโดยไม่
       มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ" ดังนั้น เมื่อระเบียบ ก.ก.ต.
       ดังกล่าว เป็นบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไปโดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใด
       หรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ จึงย่อมถือได้ว่า เป็น "กฎ" หรือ "ข้อบังคับ" ตามรัฐธรรมนูญ
       มาตรา 198 ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภามีอำนาจเสนอเรื่องให้พิจารณาวินิจฉัยความชอบ
       ด้วยรัฐธรรมนูญได้
                   
        ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยต่อมาว่า แม้ว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 198 วรรคหนึ่ง มิได้
       บัญญัติโดยชัดแจ้งว่า ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครององค์กรใดเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการ
       ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหรือข้อบังคับที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
       เสนอให้พิจารณาวินิจฉัย แต่รัฐธรรมนูญมาตรา 2763 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติทั่วไปในเรื่อง
       อำนาจหน้าที่ของศาลปกครอง บัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็น
       ข้อพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือ
       เจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือในกำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน หรือระหว่าง
       หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
       ที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือในกำกับดูแลของรัฐบาลด้วยกัน ... ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ"
       โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลปกครองในการ
       พิจารณาวินิจฉัย "ความชอบด้วยกฎหมาย"4 ของการกระทำของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ
       รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแล
       ของรัฐบาล ดังนั้น อำนาจหน้าที่ของศาลปกครองในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องที่ผู้ตรวจการ
       แผ่นดินของรัฐสภาเสนอตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 198 วรรคหนึ่ง จึงต้องหมายความถึง เรื่องของ
       หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่
       ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลเท่านั้น
                   
        ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ก.ก.ต. เป็นองค์กรที่มีขึ้นตามรัฐธรรมนูญ หมวด 6 ส่วนที่ 4
       มิใช่หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาล ดังนั้น
       ระเบียบ ก.ก.ต. ซึ่งออกโดย ก.ก.ต. จึงไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาวินิจฉัยของศาลปกครอง
       การพิจารณา "ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ" ของระเบียบ ก.ก.ต. ที่ออกโดย ก.ก.ต. จึงเป็นอำนาจ
       ของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเสนอเรื่องพร้อมความเห็น
       เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของระเบียบ
       ก.ก.ต. ดังกล่าวนั้น เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 198 วรรคหนึ่งแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจึงมี
       อำนาจพิจารณาวินิจฉัยเรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเสนอมาได้
                   
        ประเด็นต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาว่า ระเบียบ ก.ก.ต. ดังกล่าวมีปัญหา
       เกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ระเบียบคณะกรรมการ
       การเลือกตั้ง ว่าด้วยการสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา
       (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 29
       วรรคหนึ่ง5 มาตรา 1266 และต้องด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 67
       2.2 ผลกระทบจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 24/2543
                   
        จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 24/2543 ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างน้อย
       2 ประการ ดังนี้ (1) ส่งผลให้องค์กรอิสระตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจ
       ของศาลปกครอง (2) ทำให้ระบบการควบคุมเกี่ยวกับข้อพิพาทในทางปกครองอยู่ภายใต้ระบบ
       ของศาล 2 ระบบ โดยมีข้อพิจารณาดังนี้
                   
        (1) องค์กรอิสระตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของ
       ศาลปกครอง

                   
       จากผลคำวินิจฉัยนของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้นส่งผลให้องค์กรอิสระ
       ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ทั้งนี้ เพราะ
       ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหน่วยงานของรัฐที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง หมายเฉพาะ
       หน่วยงานของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลเท่านั้น ดังนั้น หากจะ
       พิจารณาถึงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญประเภทต่าง ๆ อาจแบ่งประเภทขององค์กรอิสระ
       ตามรัฐธรรมนูญออกได้ 4 กลุ่ม ดังนี้ (1.1) สำนักงานศาลและสำนักงานขององค์กรอิสระต่าง ๆ
       (1.2) องค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ (1.3) องค์กรควบคุมตรวจสอบการเลือกตั้ง และ
       (1.4) องค์กรอิสระอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญ
                   
       (1.1) สำนักงานศาลและสำนักงานขององค์กรอิสระต่าง ๆ
                   
        ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้มีสำนักงานศาลและสำนักงาน
       ขององค์กรอิสระต่าง ๆ โดยให้สำนักงานดังกล่าวเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล
       การงบประมาณ และการดำเนินการอื่น โดยอาจแบ่งองค์กรดังกล่าวได้ 5 องค์กร ดังนี้
                   
        ก. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
                   
       มาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีหน่วยธุรการ
       ของศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นอิสระ โดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้บังคับบัญชา
       ขึ้นตรงต่อประธานศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมีอิสระในการบริหารงานบุคคล
       การงบประมาณ และการดำเนินการอื่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
                   
        ข. สำนักงานศาลยุติธรรม
                   
        มาตรา 275 ของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ศาลยุติธรรมมีหน่วยธุรการ
       ของศาลยุติธรรมที่เป็นอิสระ โดยมีเลขาธิการสำนักงานยุติธรรมเป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อ
       ประธานศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรมมีอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และ
       การดำเนินการอื่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
                   
       ค. สำนักงานศาลปกครอง
                   
       มาตรา 280 ของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ศาลปกครองมีหน่วยธุรการ
       ที่เป็นอิสระ โดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองเป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธาน
       ศาลปกครองสูงสุด สำนักงานศาลปกครองมีอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ
       และการดำเนินการอื่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
                   
        ง. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
       (ป.ป.ช.)

                   
        มาตรา 302 ของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ป.ป.ช. มีหน่วยงานธุรการ
       ที่เป็นอิสระ โดยมีเลขาธิการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธาน
       ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ
       และการดำเนินการอื่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
                   
        จ. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
                   
        มาตรา 312 ของรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
       มีหน่วยธุรการของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินที่เป็นอิสระ โดยมีผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
       เป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
                   
       (1.2) องค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ
                   
        องค์กรที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
       แบ่งออกได้ 3 องค์กร ดังนี้ ก. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
       ข. คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และ ค. ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
                   
       ก. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)8
                   
        รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ ป.ป.ช. เป็นองค์กรที่สำคัญในการป้องกันและ
       ปราบปรามการทุจริต โดยให้ ป.ป.ช. เป็นองค์กรที่มีอำนาจในการไต่สวนข้อเท็จจริงเบื้องต้น
       เพื่อให้มีการดำเนินการต่อไม่ว่าจะเป็นกรณีการถอดถอนออกจากตำแหน่ง (มาตรา 305) หรือ
       เพื่อส่งความเห็นไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (มาตรา 308)
       นอกจากนี้ ป.ป.ช. ยังมีอำนาจในการไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ
       กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิด
       ต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และมีอำนาจในการตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริง
       รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่
       ของรัฐ
                   
        ข. คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน9
                   
        รัฐธรรมนูญได้กำหนดเรื่องการตรวจเงินแผ่นดินไว้ในหมวด 11
       (มาตรา 312) และต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงิน
       แผ่นดิน พ.ศ. 2542 โดยกำหนดให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับ
       การวางนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีพิจารณาในเรื่องวินัยทาง
       งบประมาณและการคลัง การให้คำปรึกษาและแนะนำการเสนอแนะให้มีการแก้ไขข้อบกพร่อง
       เกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน การกำหนดโทษปรับทางปกครอง การพิจารณาวินิจฉัยความผิด
       ทางวินัย ทางงบประมาณ และการคลังในฐานะที่เป็นองค์กรสูงสุด
                   
        ค. ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา 10
                   
        รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเป็นองค์กร
       ที่เข้ามาร่วมในการตรวจสอบการใช้อำนาจขององค์กรของรัฐ ได้กำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน
       ของรัฐสภามีอำนาจในการพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนในกรณีที่การ
       ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของข้าราชการ
       พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการ
       ส่วนท้องถิ่น หรือในกรณีที่การปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ พนักงาน ลูกจ้างของ
       หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือในกรณีที่การ
       ปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ พนักงาน ลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ
       หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนหรือประชาชน
       โดยไม่เป็นธรรมไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
                   
        (1.3) องค์กรควบคุมตรวจสอบการเลือกตั้ง 11(ก.ก.ต.)
                   
        รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ “คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นองค์กรควบคุม
       ตรวจสอบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น และ
       ผู้บริหารท้องถิ่น รวมทั้งการออกเสียงประชามติให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม โดย
       รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ ก.ก.ต. มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและ
       วินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นตามกฎหมายตามมาตรา 144 วรรคสอง (กฎหมาย
       ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา กฎหมาย
       ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียง
       ประชามติและกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น)
                   
        (1.4) องค์กรอิสระอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญ
                   
        องค์กรอิสระอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญอาจแบ่งออกได้เป็น 2 องค์กร ดังนี้
       ก. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ข. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ (มาตรา 40)
                   
        ก. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 12
                   
        รัฐธรรมนูญกำหนดให้มี “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ”
       โดยให้มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็น
       การละเมิดสิทธิมนุษยชน และเสนอมาตรการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำ
       หรือละเลยการกระทำดังกล่าว เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กฎ หรือ
       ข้อบังคับต่อรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จัดทำรายงาน
       ประจำปี เพื่อประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนภายในประเทศและเสนอต่อรัฐสภา
                   
        ข. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่
                   
        มาตรา 40 ของรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระ
       ทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่และกำกับดูแลการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์
       และกิจการโทรคมนาคม
                   
        ผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลทำให้องค์กรอิสระตามที่กล่าวแล้ว
       ข้างต้นย่อมไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง กรณีจึงก่อให้เกิดผลประการที่สองดังจะได้กล่าว
       ต่อไป
                   
        (2) ทำให้ระบบการควบคุมเกี่ยวกับข้อพิพาทในทางปกครองอยู่ภายใต้ระบบ
       ของศาล 2 ระบบ

                   
        ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในข้อพิพาทประการที่หนึ่งว่า มีองค์กรอิสระอย่างน้อย
       4 กลุ่ม ที่ไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลปกครอง ทั้งที่โดยแท้จริงแล้ว องค์กรอิสระดังกล่าว
       ต่างก็ใช้อำนาจในทางปกครองทั้งสิ้น อย่างน้อยที่สุด อำนาจในการบริหารงานบุคคลของ
       องค์กรนั้น ๆ เช่น การแต่งตั้ง ถอดถอน เจ้าหน้าที่ขององค์กรนั้น ๆ หรือการลงโทษทางวินัย
       ต่อเจ้าหน้าที่ขององค์กรนั้น ๆ ในกรณีดังกล่าวหากเป็นข้อพิพาทโต้แย้งย่อมถือว่าเป็นข้อพิพาท
       ในทางคดีปกครอง ทั้งนี้ ยังไม่ต้องพิจารณาถึงการใช้อำนาจขององค์กรดังกล่าวที่ส่งผลกระทบ
       ต่อบุคคลภายนอก ปัญหาที่จะต้องพิจารณาประการต่อมา คือ หากมีข้อพิพาทที่มีลักษณะเป็น
       ข้อพิพาทในทางปกครองดังกล่าว หากบุคคลผู้ได้รับผลกระทบประสงค์จะฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาล
       ในกรณีนี้บุคคลดังกล่าวจะฟ้องคดีต่อศาลใด ในเมื่อองค์กรดังกล่าวไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาล
       รัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ตามเหตุผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 24/2543 เมื่อข้อพิพาท
       อันเกิดจากองค์กรดังกล่าวไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง หากพิจารณาตามบทบัญญัติของ
       รัฐธรรมนูญ มาตรา 271 ซึ่งบัญญัติว่า “ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง
       เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น” เมื่อพิจารณาตาม
       บทบัญญัติของมาตรา 271 ของรัฐธรรมนูญ ข้อพิพาทกรณีดังกล่าวย่อมอยู่ในเขตอำนาจของ
       ศาลยุติธรรม ทั้งนี้ เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้ข้อพิพาทอันเกิดจากองค์กร
       ดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของศาลใด ด้วยเหตุนี้คดีข้อพิพาทอันเกิดจากองค์กรดังกล่าวย่อมตก
       อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นเขตอำนาจศาลที่มีเขตอำนาจทั่วไป
                   
        ประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไป คือ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งได้บัญญัติ
       ให้จัดตั้งศาลปกครองนั้น มีเจตนารมณ์ที่จะให้แยกคดีปกครองออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้อยู่
       ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งให้อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม รัฐธรรมนูญ
       มีเจตนารมณ์เช่นนั้นจริงๆ หรือ หรือการก่อให้เกิดผลเช่นนั้นเกิดจากคำวินิจฉัยของศาล
       รัฐธรรมนูญที่มิได้คาดหมายว่าจะเกิดผลเช่นนี้ขึ้น ทั้งนี้ หากพิจารณาจากบทบัญญัติของ
       พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ตามที่บัญญัติไว้ใน
       มาตรา 9 วรรค 213 ซึ่งได้บัญญัติถึงข้อยกเว้นของคดีปกครองที่ไม่อยู่ในเขตอำนาจของ
       ศาลปกครองไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว ซึ่งจากบทบัญญัติของมาตรา 9 วรรค 2 นี้เอง ย่อมสะท้อน
       ให้เห็นชัดเจนว่า ศาลปกครองเป็นศาลที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยข้อพิพาท
       ในทางปกครองเป็นการทั่วไป และเฉพาะที่กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะเท่านั้น ว่าให้อยู่ใน
       เขตอำนาจของศาลอื่น กรณีดังกล่าวจึงไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ดังนั้น หาก
       ข้อพิพาทใดเป็นข้อพิพาทในทางปกครอง และไม่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจของ
       ศาลอื่น กรณีจึงไม่อาจพิจารณาเป็นอื่นไปได้ นอกจากจะให้ข้อพิพาทในทางปกครองดังกล่าว
       อยู่ภายใต้การควบคุมตรวจสอบโดยศาลปกครอง
       2.3. ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญประเภทต่าง ๆ กับศาลปกครอง
                   
        ในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญประเภทต่าง ๆ
       กับศาลปกครองจะแยกพิจารณาตามประเภทขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแต่ละประเภท
       ตามลำดับ
                   
        2.3.1 สำนักงานศาลและองค์กรอิสระต่าง ๆ
                   
        ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญประเภทนี้ ได้แก่
       สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลปกครอง สำนักงาน
       คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
                   
        สำหรับข้อพิจารณาของการกระทำทั้งหลายขององค์กรประเภทที่อยู่ในขอบเขตอำนาจของศาลปกครอง เช่น การกระทำที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลทั้งหลายของ
       องค์กรดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้ง โยกย้าย การลงโทษทางวินัย โดยหลักพื้นฐานและการ
       กระทำดังกล่าวย่อมอยู่ภายใต้การควบคุมตรวจสอบของศาลปกรอง
                   
        2.3.2 องค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
                   
        ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ (ป.ป.ช.คณะกรรมการ
       ตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา) กับศาลปกครอง ในกรณีขององค์กร
       ประเภทนี้มีข้อพิจารณาดังนี้
                   
        2.3.2.1 องค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจดังกล่าวข้างต้นกับศาลปกครอง
       ต่างก็เป็นองค์กรในระดับองค์กรตามรัฐธรรมนูญตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 266 ของรัฐธรรมนูญ
       ดังนั้น ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างองค์กรดังกล่าวกับศาลปกครอง กรณี
       ย่อมอยู่ในเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องดังกล่าว
                   
        2.3.2.2 ความสัมพันธ์ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรดังกล่าว
       กับศาลปกครอง

                   
        (1) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
                   
        ก. ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 9 (1) กำหนด
       ให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือ
       เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใด เนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือโดยไม่สุจริต ในขณะที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ
       ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 19 (3) กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีอำนาจ
       ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตหรือกระทำ
       ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ดังที่
       การกระทำเดียวอาจจะอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง และอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ
       ป.ป.ช.ได้
                   
        ข. ระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นระเบียบ
       หรือข้อบังคับที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองหรือไม่ (ดูมาตรา 321 ของรัฐธรรมนูญ
       ประกอบ)
                   
        ค. การใช้อำนาจสั่งการบางประการของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
       เป็นคำสั่งที่อาจถูกโต้แย้งได้หรือไม่ หากอาจถูกโต้แย้งได้องค์กรใดจะเป็นผู้มีอำนาจในการ
       ตรวจสอบ เช่น มาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว กำหนดให้
       คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งอื่น ๆ นอกจากมาตรา 39 และ
       มาตรา 40 ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน ในกรณีนี้หากเจ้าหน้าที่ของรัฐ
       ดังกล่าวจะโต้แย้งคำสั่งของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่
                   
        ง. กรณีที่บุคคลผู้ถูกร้องเรียนจะโต้แย้งว่ากระบวนการไต่สวน
       ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมีการแต่งตั้งบุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 46
       แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กรณีดังกล่าวนี้หากบุคคลดังกล่าวได้เสนอข้อโต้แย้งต่อ
       คณะกรรมการ ป.ป.ช.แล้วไม่เป็นผล บุคคลดังกล่าวจะมีสิทธิโต้แย้งเรื่องดังกล่าวต่อองค์กรอื่น
       หรือไม่
                   
        (2) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
                   
        ในส่วนของอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
       รวมทั้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินกับศาลปกครองมีข้อสังเกตดังนี้
                   
        ก. ระเบียบข้อบังคับหรือประกาศของคณะกรรมการตรวจเงิน
       แผ่นดินอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองหรือไม่
                   
        ข. ตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้มี
       คณะกรรมการวินัยทางงบประมาณและการคลัง โดยให้คณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจในการ
       พิจารณาและกำหนดโทษปรับทางปกครองเบื้องต้นแก่เจ้าหน้าที่หรือพนักงานของหน่วยรับตรวจ
       ที่ฝ่าฝืนมาตรการเกี่ยวกับการควบคุมการเงินของรัฐที่คณะกรรมการกำหนด และตามมาตรา 23
       กำหนดให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด และมาตรา 24 กำหนดว่าเพื่อประโยชน์
       ในการชำระเงินที่เป็นโทษปรับทางปกครองตามที่คณะกรรมการกำหนด ให้วินิจฉัยลงโทษ
       ทางวินัยของคณะกรรมการมีผลทางปกครองเช่นเดียวกับคำสั่งลงโทษตัดเงินเดือนที่สั่งโดย
       ผู้บังคับบัญชา
                   
        กรณีจึงมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า คำวินิจฉัยของคณะ
       กรรมการวินัยทางงบประมาณและการคลังดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจการควบคุมตรวจสอบของ
       ศาลปกครองหรือไม่
                   
        ค. ตามมาตรา 63 กำหนดให้ผู้รับตรวจหรือผู้บังคับบัญชาหรือ
       ผู้ควบคุมกำกับหรือรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจผู้ใดละเลยไม่ดำเนินการตามมาตรา 44 มาตรา
       45 หรือมาตรา 46 ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัย ในกรณีนี้จะโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวต่อ
       ศาลปกครองได้หรือไม่
                   
        (3) ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
                   
        ในส่วนของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภามีข้อสังเกตที่เกี่ยวกับ
       เขตอำนาจของศาลปกครองดังนี้
                   
        ก. ตามรัฐธรรมนูญมิได้กำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
       มีหน่วยธุรการของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาที่เป็นอิสระ แต่อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติ
       ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ. 2542 ได้กำหนดไว้ในหมวด 3
       เกี่ยวกับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ซึ่งมีอำนาจในการบริหารงานบุคคลโดยมี
       เลขาธิการเป็นผู้บังคับบัญชา พนักงานและลูกจ้างของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
       ดังนั้น กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อน ลดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ลงโทษ
       ทางวินัยพนักงานหรือลูกจ้างของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรณีดังกล่าวย่อมอยู่
       ในเขตอำนาจศาลปกครอง
                   
        ข. ตามมาตรา 197 และมาตรา 198 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับ
       มาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภามีอำนาจหน้าที่
       ในการพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนในกรณี
                   
        - การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจ
       หน้าที่ตามกฎหมายของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ
       หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
                   
        - การไม่ปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ
       พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วน
       ท้องถิ่นที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนหรือประชาชนโดยไม่เป็นธรรม ไม่ว่าการนั้น
       จะชอบหรือไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ก็ตาม
                   
        ตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวยังกำหนดให้
       ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ หรือการกระทำใดของ
       บุคคลใดตามมาตรา 16 (1) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน
       ของรัฐสภาเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง แล้วแต่กรณี เพื่อ
       พิจารณาวินิจฉัยกรณีจึงมีข้อสังเกตดังนี้
                   
        ข.1) ทั้งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ และ
       พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาฯ ต่างก็กำหนดให้
       องค์กรทั้งสองมีอำนาจในการกระทำอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนือ
       อำนาจหน้าที่ และการปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของ
       หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น กรณีจึงทำให้มี
       ข้อพิจารณาว่าแต่ละองค์กรมีขอบเขตแค่ไหน เพียงใด และการพิจารณาขององค์กรใดองค์กร
       หนึ่งผูกพันอีกองค์กรหนึ่งแค่ไหน เพียงใด
                   
        ข.2) โดยที่มาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติประกอบ
       รัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการฯ ได้กำหนดว่าในกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเห็นว่า
       บทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ หรือการกระทำใดของบุคคลใดตามมาตรา 16 (1)
       มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเสนอเรื่อง
       พร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง แล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณาวินิจฉัย กรณีจึงมี
       ปัญหาว่าหากผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเห็นว่า กฎ ข้อบังคับ หรือการกระทำใดของบุคคลใด
       ตามมาตรา 16 (1) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย (มิใช่ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ)
       กรณีนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาจะมีอำนาจดำเนินการอย่างไร มีอำนาจพิจารณาไปได้เอง
       หรือจะต้องส่งเรื่องให้ศาลปกครองเช่นกัน
                   
        2.3.3 องค์กรควบคุมตรวจสอบการเลือกตั้ง
                   
        รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ควบคุมและ
       ดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภา
       ท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่น รวมทั้งการออกเสียงประชามติ ให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
       โดยให้มีอำนาจที่สำคัญคือ สืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือ
       ข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นตามกฎหมาย มาตรา 144 วรรคสอง (กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
       การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
       พรรคการเมือง กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ และกฎหมายว่าด้วย
       การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น) (ตามมาตรา 144 (3)) และสั่งให้มีการ
       เลือกตั้งใหม่หรือออกเสียงประชามติใหม่ในหน่วยเลือกตั้งใดหน่วยเลือกตั้งหนึ่งหรือทุกหน่วย
       เลือกตั้ง เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งหรือการออกเสียงประชามติในหน่วยเลือกตั้ง
       นั้น ๆ มิได้เป็นโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
                   
        ข้อพิจารณาในส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่อาจเกี่ยวพันกับเขต
       อำนาจศาลปกครองอาจแบ่งการพิจารณาออกเป็น 3.3.1 คณะกรรมการการเลือกตั้งในฐานะ
       องค์กรกลุ่มและ 3.3.2 ประธานกรรมการการเลือกตั้งในฐานะเป็นผู้รักษาการตามกฎหมายต่าง ๆ
                   
        2.3.3.1 คณะกรรมการการเลือกตั้งในฐานะองค์กรกลุ่ม มีข้อสังเกตดังนี้
                   
        ถึงแม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่า14 ศาลปกครองมีอำนาจ
       พิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ
       ราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือในกำกับดูแลของรัฐบาลกับ
       เอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือ
       เจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือในกำกับดูแลของรัฐบาลด้วยกัน ดังนั้น อำนาจหน้าที่
       ของศาลปกครองในการพิจารณาเรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเสนอตามรัฐธรรมนูญ
       มาตรา 198 วรรคหนึ่งจึงต้องหมายถึงเรื่องของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ
       ราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลเท่านั้น
       สำหรับคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นองค์กรที่มีขึ้นตามรัฐธรรมนูญ หมวด 6 ส่วนที่ 4 มิใช่
       หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือในกำกับดูแลของรัฐบาลดังเช่นที่กล่าว
       ดังนั้น ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งฯซึ่งออกโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งจึงไม่อยู่ใน
       อำนาจการพิจารณาของศาลปกครองการพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของระเบียบ
       คณะกรรมการการเลือกตั้งฯที่ออกโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งจึงเป็นอำนาจของศาล
       รัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวมิได้แยกแยะอย่างชัดเจนว่าการใช้อำนาจ
       ส่วนใดบ้างที่อาจจะอยู่หรือไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง เพียงแต่วินิจฉัยว่า "คณะกรรมการ
       การเลือกตั้ง" มิใช่องค์กรที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาล ซึ่งผลของคำวินิจฉัย
       ดังกล่าวย่อมมีผลทำให้ "คณะกรรมการการเลือกตั้ง" อยู่นอกเขตอำนาจศาลปกครองทั้งหมด
       ไม่ว่าจะกระทำในฐานะใด ในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งในกรณี
       ดังต่อไปนี้มีข้อพิจารณาว่าอยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองหรือไม่
                   
        (1) ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการ
       การเลือกตั้ง พ.ศ. 2540 ได้กำหนดให้มีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยมีเลขาธิการ
       เป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และให้มีอำนาจ
       บรรจุ แต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อน ลดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ลงโทษทางวินัยพนักงานหรือลูกจ้างของ
       สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (มาตรา 30 (1)) ดังนั้น ปัญหาข้อพิพาทที่เกี่ยวกับเรื่อง
       ดังกล่าวย่อมอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
                   
        (2) ตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
       คณะกรรมการการเลือกตั้งฯ ได้กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจแต่งตั้ง
       คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด บุคคล
       คณะบุคคลหรือผู้แทนองค์การเอกชน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง
       มอบหมาย การโต้แย้งว่าการแต่งตั้งหรือถอดถอนบุคคลตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 กรณี
       ดังกล่าวมีปัญหาว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองที่จะควบคุมตรวจสอบความมิชอบ
       ด้วยกฎหมายของคำสั่งดังกล่าวหรือไม่
                   
        (3) กรณีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง
       สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2540 หากคณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่ง
       ให้บุคคลผู้มีสิทธิเลือกตั้งเสียสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กฎหมายกำหนดก็ดี หรือกรณีที่
       คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่รับสมัครผู้สมัครเลือกตั้งรายใดรายหนึ่ง โดยเห็นว่าขาดคุณสมบัติ
       ก็ดี หรือกรณีที่พรรคการเมืองประสงค์จะโต้แย้งประกาศผลการตรวจสอบรายการค่าใช้จ่าย
       (มาตรา 43) หรือผู้สมัครพรรคการเมืองจะโต้แย้งการที่รัฐกำหนดที่ติดแผ่นประกาศ หรือการ
       จัดสรรเวลาออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ กรณีดังกล่าวนี้ หากบุคคล
       ผู้มีสิทธิจะโต้แย้งจะโต้แย้งต่อองค์กรใด
                   
        2.3.3.2 ประธานกรรมการการเลือกตั้งในฐานะเป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย
       ต่าง ๆ

                   
        ตามมาตรา 144 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้ประธาน
       กรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้รักษาการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
       กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง
                   
        กรณีจึงมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาว่าการใช้อำนาจของประธาน
       กรรมการการเลือกตั้งโดยเฉพาะเป็นนายทะเบียนพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบ
       รัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 เช่น กรณีตามมาตรา 14 หากนายทะเบียนสั่ง
       ไม่รับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง ในกรณีนี้ผู้จัดตั้งพรรคการเมืองจะโต้แย้งคำสั่งนายทะเบียน
       ต่อองค์กรใด ซึ่งในเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
       พรรคการเมืองฯ ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยตามคำวินิจฉัยที่ 3/2541 เรื่อง คณะกรรมการ
       การเลือกตั้งขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับขอบเขตอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
       โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เมื่อพรรคประชากรไทยขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ
       บริหารพรรคต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง และมีกรรมการบริหารพรรคบางคนโต้แย้งคัดค้าน
       จึงเป็นปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่อยู่ในอำนาจวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้ง การที่ศาลแพ่ง
       มีคำสั่งห้ามนายธีรศักดิ์ กรรณสูต ประธานกรรมการการเลือกตั้งในฐานะนายทะเบียนพรรค
       การเมืองจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงการเป็นกรรมการบริหารของพรรคประชากรไทยของ
       นายวัฒนา อัศวเหม กับคณะรวม 12 คน ภายหลังจากที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
       ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มีผลใช้บังคับแล้ว จึงเป็นคำสั่งที่ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติ
       ตามมาตรา 145 (3) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเหตุผลที่กล่าวมาศาล
       รัฐธรรมนูญ จึงวินิจฉัยว่า คำสั่งห้ามนายธีรศักดิ์ กรรณสูต ประธานกรรมการการเลือกตั้งในฐานะ
       นายทะเบียนพรรคการเมือง จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงการเป็นกรรมการบริหารพรรคประชากร
       ไทยของนายวัฒนา อัศวเหม กับคณะ รวม 12 คน ตามหมายห้ามชั่วคราวของศาลแพ่ง
       ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2541 ไม่มีผลผูกพันต่อการปฏิบัติหน้าที่ของนายธีรศักดิ์ กรรณสูต
       ประธรรมกรรมการการเลือกตั้งในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง
                   
        ถึงแม้ในขณะที่ศาลวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวยังไม่มีการจัดตั้งศาลปกครอง
       ขึ้นก็ตาม แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าการวินิจฉัยปัญหาในเรื่องดังกล่าวตามที่บัญญัติ
       ไว้ในมาตรา 145 (3) ของรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งย่อมมีผลว่า
       มิอาจถูกตรวจสอบโดยองค์กรศาลได้ ในกรณีนี้ถึงแม้จะมีการจัดตั้งศาลปกครองแล้วก็ตาม
       ปัญหาในเรื่องดังกล่าวก็ไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองเช่นกัน กรณีจึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัย
       เป็นอย่างยิ่ง เพราะประธานกรรมการการเลือกตั้งทำหน้าที่เป็นทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ
       ไปในขณะเดียวกัน และประการสำคัญคือ คำสั่งดังกล่าวมีผลเป็นที่สุดไม่อาจถูกตรวจสอบโดยองค์กรตุลาการอื่นใดได้อีก
                   
        2.3.4 องค์กรอิสระอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญ
                   
        องค์กรอิสระอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ได้แก่ 3.4.1 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
       แห่งชาติ 3.4.2 องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ (มาตรา 40)
                   
        2.3.4.1 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
                   
        ส่วนที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
       กับศาลปกครองมีข้อสังเกตดังนี้
                   
        (1) ข้อพิพาทที่เกี่ยวกับอำนาจในการบริหารงานบุคคลในสำนักงาน
       คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวคือ อำนาจในการแต่งตั้ง โยกย้าย ถอดถอน ลงโทษ
       ทางวินัย ปัญหาข้อพิพาทในเรื่องดังกล่าวย่อมอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง
                   
        (2) การกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเป็นการกระทำที่มีลักษณะ
       เป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองตามมาตรา 9 (1) แห่ง
       พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯอาจเป็นการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งอยู่ในอำนาจตรวจสอบการกระทำดังกล่าวของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ กรณีจึงมี
       ปัญหาว่าหากเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาขององค์กรทั้งสอง การพิจารณาขององค์กรใด
       องค์กรหนึ่งจะมีผลผูกพันอีกองค์กรหนึ่งหรือไม่ เพียงใด
                   
        2.3.4.2 องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ (มาตรา 40 ของรัฐธรรมนูญ)
                   
        อำนาจหน้าที่ขององค์กรจัดสรรคลื่นความถี่กับศาลปกครองมีข้อสังเกต
       ดังนี้
                   
        (1) ข้อพิพาทที่เกี่ยวกับอำนาจในการบริหารงานบุคคลขององค์กร
       จัดสรรคลื่นความถี่ย่อมอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
                   
        (2) การใช้อำนาจของคณะกรรมการจัดสรรคลื่นความถี่ไม่ว่าจะกระทำ
       ในรูปของคำสั่ง คำวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติฯ มีประเด็นข้อพิจารณาว่าการโต้แย้งคำสั่งหรือ
       คำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯดังกล่าวจะโต้แย้งต่อองค์กรใด จะโต้แย้งมายังศาลปกครองได้
       หรือไม่
       
       
       เชิงอรรถ
                   1. โปรดดู บรรเจิด สิงคะเนติ, วิเคราะห์ปัญหาเรื่องขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ, วารสารกฎหมายปกครอง เล่ม 17 ตอน 1 (เมษายน 2541), หน้า 157-165.
        [กลับไปที่บทความ]
                   
       2. ดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 58-62/2543 เรื่องพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด
       พ.ศ. 2540 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ [กลับไปที่บทความ]
                   
       3. มาตรา 276 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่าง
       หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือในกำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลด้วยกัน ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการ
       กระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือ
       เจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการ
       หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ"[กลับไปที่บทความ]
                   
       4.ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การตรวจสอบ "ความชอบด้วยกฎหมาย" อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง
       แต่การตรวจสอบ "ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ" อยู่ในเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
       [กลับไปที่บทความ]
                   
       5.มาตรา 29 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำ
       มิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูยนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้"
       [กลับไปที่บทความ]
       
                   
       6.มาตรา 126 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา
                   
       (1) เป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นของพรรคการเมือง
                   
       (2) เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพ้นจากการเป็นสมาชิกสภา
       ผู้แทนราษฎรแล้วยังไม่เกินหนึ่งปีนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
                   
       (3) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ในอายุของวุฒิสภาคราวก่อนการสมัครรับเลือกตั้ง
                   
       (4) เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 109 (1) (2) (3) (4) (5) (6) (7) (8) (9) (11) (12) (13) หรือ (14)"[กลับไปที่บทความ]
                   
       7. มาตรา 6 บัญญัติว่า "รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือ
       ข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้"
       [กลับไปที่บทความ]
                   
       8. รายละเอียดโปรดดูเชิงอรรถที่ 2, ข้างต้น [กลับไปที่บทความ]
                   
       9. รายละเอียดโปรดดูเชิงอรรถที่ 3, ข้างต้น[กลับไปที่บทความ]
                   
       10. รายละเอียดโปรดดูเชิงอรรถที่ 4, ข้างต้น[กลับไปที่บทความ]
                   
       11. รายละเอียดโปรดดูเชิงอรรถที่ 5, ข้างต้น[กลับไปที่บทความ]
                   
       12. รายละเอียดโปรดดูเชิงอรรถที่ 6, ข้างต้น[กลับไปที่บทความ]
                   
       13. มาตรา 9 วรรค 2 บัญญัติว่า
                   
        เรื่องดังต่อไปนี้ไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครอง
                   
        (1) การดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหาร
                   
        (2) การดำเนินการของคณะกรรมการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ
                   
        (3) คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร ศาลทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศ ศาลล้มละลาย หรือศาลชำนัญพิเศษอื่น” [กลับไปที่บทความ]
                   
       14. คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 24/2543 เรื่องระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ[กลับไปที่บทความ]
       
       
       
       ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2544

       
       


พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=135
เวลา 21 เมษายน 2568 20:52 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)