|
|
ยุบพรรคการเมืองและตัดสิทธิเลือกตั้ง โดย คุณวัส ติงสมิตร 30 มีนาคม 2551 23:11 น.
|
ปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 เริ่มระอุขึ้นเมื่อขั้นตอนการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาอันเนื่องมาจากกรณีทุจริตการเลือกตั้ง ส.ส. ที่จังหวัดเชียงราย และต่อมาศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องได้พิจารณา อันทำให้รองหัวหน้าพรรคการเมืองซึ่งเป็น ส.ส. แบบสัดส่วนของพรรคการเมืองดังกล่าวและดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรด้วย ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำสั่งยกคำร้อง
ความร้อนระบุของปัญหาน่าจะไม่เกิดขึ้นหากการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในคดีดังกล่าวมีผลเฉพาะตัวของรองหัวหน้าพรรคการเมือง โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงอันจะเป็นเหตุให้ต้องยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองรวมทั้งกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นด้วย
ประเด็นที่น่าจะต้องพิจารณาโดยด่วนในขณะนี้ก็คือ ความเข้าใจในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง ที่ถูกต้องและครบถ้วน ไม่ใช่พูดกับคนละทีสองทีจนหลงทางอยู่ในวังวนของความมืดมนหาทางออกไม่เจอ กลับพยายามแก้ไขปัญหาไปอีกทางหนึ่งซึ่งอาจทำให้วิกฤตของสังคมประทุออกมาอีกคำรบหนึ่งก็เป็นได้
ปัญหาการยุบพรรคการเมือง
ขณะนี้มีนักการเมืองและผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า ในกรณีที่มีการทุจริตการเลือกตั้ง ส.ส. และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งรายใด (ให้ใบแดง) แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการให้ใบแดงโดย กกต. ก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง หรือโดยศาลฎีกาหลังประกาศผลการเลือกตั้งแล้วก็ตาม หากการทุจริตการเลือกตั้งนั้นเกี่ยวข้องกับหัวหน้าพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมือง เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมือง (คือ ประธาน กกต.) โดยความเห็นชอบของ กกต. ดำเนินการผ่านอัยการสูงสุดจนครบขั้นตอน จนมีการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีคำสั่งยุบพรรคการเมืองแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องยุบพรรคการเมืองนั้นเสมอไป
ความเข้าใจเช่นนี้ นับเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากกฎหมายอย่างชัดแจ้ง กล่าวคือ
(1) รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสาม บัญญัติว่า ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้ ซึ่งเป็นอำนาจดุพินิจที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยุบหรือไม่ยุบพรรคการเมืองนั้นก็ได้ ไม่ใช่อำนาจผูกผันที่บังคับให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นสถานเดียว
(2) รัฐธรรมนูญ มาตรา 237 วรรคสอง (ซึ่งเป็นมาตราที่พรรคการเมืองบางพรรคต้องการจะแก้ไขมากที่สุดและด่วนที่สุด) บัญญัติว่า ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง... แสดงให้เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ถูกรัฐธรรมนูญบังคับให้ต้องยุบพรรคการเมืองนั้น เพราะมีกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่เห็นสมควรจะยุบพรรคการเมืองนั้นได้
(3) พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 95 วรรคสาม บัญญัติสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ (อันที่จริงย่อมจะบัญญัติขัดต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้อยู่แล้ว) ว่า ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองใดแล้ว ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองประกาศคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นในราชกิจจานุเบกษา แสดงให้เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจไม่ยุบพรรคการเมืองก็ได้
กล่าวโดยสรุป ในคดีทุจริตการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งมีหัวหน้าพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองเกี่ยวข้องอยู่ด้วย กฎหมายไม่ได้บังคับให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องยุบพรรคการเมืองนั้นเสมอไป
ปัญหาการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
สิทธิเลือกตั้งเป็นสิทธิของพลเมืองในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตย และเป็นสิทธิในการเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างเจตนารมณ์ของรัฐ ปัจจุบันสิทธิเลือกตั้งจัดเป็นสิทธิพื้นฐานของความเป็นพลเมืองของรัฐ คนต่างด้าวไม่มีสิทธิประเภทนี้ในรัฐที่ตนอาศัยอยู่
การที่รัฐใดจะให้สิทธิเลือกตั้งแก่พลเมืองของตนภายใต้ข้อจำกัดใด ขึ้นอยู่กับนิตินโยบายของรัฐใด ประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศแรกที่ให้สิทธิเลือกตั้งแก่ผู้หญิง โดยให้สิทธิตั้งแต่ พ.ศ. 2436 ในขณะที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพิ่งจะให้สิทธิเลือกตั้งแก่ผู้หญิงเมื่อ 20 กว่าปีมานี้เอง
เมื่อพลเมืองมีสิทธิเลือกตั้งแล้ว การจะพรากสิทธิเลือกตั้งของเขาไป จะกระทำได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ และกระทำได้เท่าที่จำเป็น โดยมีเงื่อนไขว่าการจำกัดสิทธิดังกล่าวจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิ (และเสรีภาพ) นั้นไม่ได้ (รัฐธรรมนูญ มาตรา 29 วรรคหนึ่ง)
รัฐธรรมนูญบัญญัติเหตุที่จะเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ส.ส. ไว้หลายกรณี ในกรณีผู้สมัครรับเลือกตั้งทุจริตการเลือกตั้ง โดยกระทำการ ก่อหรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม รัฐธรรมนูญให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้นั้น (ในกรณีประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว ต้องเพิกถอน 5 ปี )
ส่วนการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองอันเกิดจากการที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งเป็นสมาชิกพรรคของตนทุจริตการเลือกตั้งนั้น จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น และ ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารของพรรคการเมืองผู้ใด มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้ว มิได้ยับยั้งหรือแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ... ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองดังกล่าวมีกำหนดห้าปีนับแต่วันที่มีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมือง (รัฐธรรมนูญ มาตรา 237 วรรคสอง และกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 98) รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองแบบเหมาเข่งทั้งหมด รวมทั้งผู้ที่ไม่มีส่วนรู้เห็น ไม่ได้ปล่อยปละละเลยหรือไม่ทราบถึงการกระทำนั้นด้วย ดังที่เข้าใจกัน
ความจริง สิ่งที่นักการเมืองโดยทั่วไปกลัวที่สุดไม่ใช่การยุบพรรคการเมือง เพราะเมื่อยุบพรรคการเมืองแล้ว ส.ส.ของพรรคการเมืองที่ถูกยุบยังมีเวลาถึง 60 วัน ที่จะไปเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่น เพื่อไม่ให้ความเป็น ส.ส. สิ้นสุดลง ในกรณีที่นักการเมืองใดมีปัญหาเกี่ยวกับการที่พรรคจะถูกยุบ นักการเมืองเหล่านั้นคงจะเตรียมหาพรรคการเมืองอื่นไว้ก่อนแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงมีพรรคการเมืองจำนวนไม่น้อยถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
สิ่งที่นักการเมืองกลัวที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ยิ่งถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลานานเท่าใด ยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น
ในกรณีที่นิติบุคคลกระทำความผิดอาญา ตามหลักกฎหมายเดิม กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นต้องรับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นๆ ด้วย เว้นแต่จำเลยจะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้รู้เห็นหรือยินยอมในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น (พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 114 ก่อนแก้ไข) แต่หลังจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งมีบทบัญญัติคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมากขึ้นออกมาใช้บังคับ หลักกฎหมายที่ให้ผู้แทนของนิติบุคคลต้องรับโทษทางอาญาด้วยได้เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ โจทก์ต้องพิสูจน์ความผิดของผู้แทนนิติบุคคลนั้น เช่น ความผิดเกิดจากสั่งการ การกระทำ ไม่สั่งการหรือไม่กระทำการ อันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ ผู้แทนนิติบุคคลที่ถูกพิสูจน์ความผิดได้จึงจะต้องรับโทษทางอาญา
แล้วเหตุไฉน จึงสามารถตัดสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารพรรคการเมือง ซึ่งถือว่าเป็นการลงโทษความเป็นพลเมือง โดยที่ผู้ร้องไม่ต้องพิสูจน์ว่า บุคคลเหล่านั้นมีส่วนรู้เห็น ปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการทุจริตการเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคการเมืองเดียวกัน แล้วมิได้ยับยั้งหรือแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม แบบเหมาเข่งได้ /
|
|
|
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1204
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 19:38 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|