|
|
สภาพวิชาการทางกฎหมายของประเทศไทย : สาเหตุแห่งความล้มเหลวของการปฏิรูปการเมือง ครั้งที่ ๒ (หน้า๒๑) 25 ธันวาคม 2550 21:37 น.
|
การบิดเบือนหลักการและกลไกของระบอบประชาธิปไตย คืออย่างไร และ ใครเป็นผู้ได้รับประโยชน์ : ผู้เขียนได้กล่าวแล้วว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็น ระบบเผด็จการในระบบรัฐสภาโดยพรรคการเมือง(นายทุนธุรกิจ) ซึ่งเป็น ลักษณะเฉพาะ ( characteristics)ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ : และเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวในโลกที่เขียนเช่นนี้ ; และเพื่อความเข้าใจของท่านผู้อ่าน ผู้เขียนขอให้รายละเอียดอย่างสั้น ๆโดยสังเขป เกี่ยวกับ ประเด็นต่าง ๆ ที่ ผู้เขียนได้ตรวจสอบรายละเอียดในรัฐธรรมนูญของประเทศต่าง ๆ ดังนี้ [หมายเหตุ : บางส่วนของ รัฐธรรมนูญ(ต่างประเทศ)ที่ผู้เขียนได้ตรวจสอบ ผู้เขียนได้นำมาพิมพ์เผยแพร่ให้ท่านผู้อ่านทราบ เป็น เอกสารวิชาการในหนังสือที่จัดพิมพ์ โดยสถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. ๒๕๔๙ ตามที่ได้อ้างมาข้างต้น]
- ประเด็น การบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรค พบว่า รัฐธรรมนูญของประเทศที่พัฒนาแล้วทุกประเทศ ( และประเทศอื่น ๆ เท่าที่ตรวจดู)ไม่มีบทบัญญัติให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง และท่านผู้อ่านคงได้ทราบมาแล้วว่า แม้แต่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง
รัฐธรรมนูญของประเทศสังคมนิยม (คอมมิวนิสต์)ซึ่งเป็นระบบเผด็จการโดยพรรคการเมือง ซึ่งขณะนี้มีอยู่เพียง ๕ ประเทศ ก็ไม่มีบทบัญญัตินี้เช่นเดียวกัน; รัฐธรรมนูญของประเทศจีน ไม่มีแม้แต่การระบุคำว่า พรรคคอมมิวนิสต์ไว้ในรัฐธรรมนูญ และดูเหมือนว่า มีรัฐธรรมนูญของประเทศคิวบาเพียงประเทศเดียว ที่ในรัฐธรรมนูญมีคำว่า พรรคคอมมิวนิสต์ โดยระบุว่า The Communist Party of Cuba เป็น the organized vanguard of the Cuban nation
- ประเด็น บทบัญญัติรัฐูรรมนูญที่ให้หลักประกันความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส. พบว่า รัฐธรรมนูญส่วนมากของประเทศเสรีประชาธิปไตย มีบทบัญญัติที่ให้หลักประกันความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส. (ให้เป็นไปตามมโนธรรมของตน)
- ประเด็น อำนาจของพรรคการเมืองในการมีมติ (ที่มีผล)ให้ ส.ส.ต้องพ้นจากสมาชิกภาพของการเป็น ส.ส. พบว่า ไม่มีรัฐธรรมนูญของประเทศใดแม้แต่ประเทศเดียว ที่มีบทบัญญัติเช่นนี้ รวมทั้งรัฐธรรมนูญของประเทศสังคมนิยม (คอมมิวนิสต์)
- ประเด็น บทบัญญัติบังคับให้การเต่งตั้ง นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. เท่านั้น พบว่า รัฐธรรมนูญ(ที่ใช้ระบบรัฐสภา)ของประเทศที่พัฒนาแล้วทุกประเทศไม่มีบทบัญญัตินี้ และเช่นเดียวกัน บทบัญญัตินี้ไม่มีในรัฐธรรมนูญของประเทศสังคมนิยม(คอมมิวนิสต์) ; ประเทศเหล่านี้ ถือว่า หลักการของระบอบประชาธิปไตย อยู่ที่อำนาจของสภาผู้แทนราษฎรในการให้ความเห็นชอบในตัวบุคคลที่จะเป็นรัฐบาล และบุคคลใดก็ตาม ที่เป็นบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบ ย่อมเป็น คนที่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรี ได้
โดยสรุป จะเห็นได้ว่า ระบบสถาบันการเมือง form of government ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ (และรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๕๐)ของเรา ได้ออกนอกกรอบของหลักการของ ความเป็นประชาธิปไตย ของรัฐธรรมนูญที่เป็นสากล และไม่เป็น ประชาธิปไตย
การบิดเบือนไปจากหลักการของระบอบประชาธิปไตยในการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ นี้ เห็นได้ชัดว่า เป็นไปเพื่อประโยชน์ของ บรรดา นายทุนธุรกิจ ระดับท้องถิ่น ที่ครอบงำพรรคการเมือง อยู่ในขณะนั้น (พ.ศ. ๒๕๓๙) ; เมื่อเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญของประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่รัฐธรรมนูญของเขาเปิดโอกาสให้สภาผู้แทนราษฎร(ของเขา) มีโอกาสเลือก คนที่ดีที่สุดของสังคม ให้มาเป็น นายกรัฐมนตรีได้ โดยไม่มีบทบัญญัติจำกัดว่า สภาจะต้องเลือกนายกรัฐมนตรีจาก ส.ส. เท่านั้น เราก็สามารถพูดได้ว่า นักการเมือง(ที่มาจากการเลือกตั้ง)ของเราในขณะนั้น(พ.ศ. ๒๕๓๙ ) แสดงพฤติกรรม ความเห็นแก่ตัวให้ปรากฎ มากกว่านักการเมือง ของประเทศที่พัฒนาแล้ว
ทั้งนี้ โดยยังไม่ต้องพูดถึง พฤติกรรมของบรรดานายทุนธุรกิจ(ระดับท้องถิ่น) ที่ได้จัดตั้งพรรคการเมืองและลงทุนออกเงินล่วงหน้า ช่วยเหลือผู้สมัคร ส.ส.ในสังกัดพรรคของตนในการเลือกตั้ง ว่า ทำไมนายทุนธุรกิจ(ระดับท้องถิ่น)เหล่านี้ จึงต้องการให้รัฐธรรมนูญมีบทบัญญติบังคับให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรค และมีบทบัญญัติ ตัด สิทธิของสภาผู้แทนราษฎรในการที่จะเลือก บุคคลภายนอกที่ดีกว่า มาเป็นนายกรัฐมนตรี ; ท่านผู้อ่านคงคิดได้เอง ว่า บุคคลเหล่านี้ (นายทุนธุรกิจ ระดับท้องถิ่น) ต้องการบทบัญญัตินี้ เพื่อประโยชน์ของตนเอง(โดยการอ้าง ความเป็นประชาธิปไตย ที่ไม่ตรงกับความเห็นสากล) หรือต้องการบทบัญญัตินี้ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของชาติ (?) (?)
นักกฎหมายในวงการวิชาการทางกฎหมาย ในขณะนั้น (พ.ศ. ๒๕๓๙) : ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการออกแบบรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่บิดเบือนไปจาก หลักการของระบอบประชาธิปไตย อีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือ elite ของสังคมไทย ที่เป็นนักวิชาการในวงการวิชาการทางกฎหมาย
อันที่จริง ระบบเผด็จการใน ระบบเผด็จการในระบบรัฐสภาโดยพรรคการเมือง(นายทุนธุรกิจ)ในรัฐธรรมนูญของไทยนั้น เกิดขึ้นค่อนข้างแปลก เพราะตามความเป็นมาแต่เดิม บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่สร้างระบบเผด็จการในระบบรัฐสภาโดยพรรคการเมืองนี้ มิได้มุ่งหมายจะให้เป็นระบบเผด็จการสำหรับพรรคการเมืองของนายทุนธุรกิจ แต่มุ่งหมายสำหรับ พรรคการเมืองที่เป็นพันธมิตรของนักการเมือง (ทหาร)ที่มาจากการปฏิวัติ
โปรดดูข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ ระบบเผด็จการในระบบรัฐสภาโดยพรรคการเมือง เริ่มตั้งแต่ จากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๑๗ ซึ่งยกร่างโดย คณะกรรมาธิการวิสามัญ ที่แต่งตั้งโดย สภานิติบัญญัติ ตามธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. ๒๕๑๕)
ถ้าท่านผู้อ่านนึกย้อนดูเหตุการณ์ก่อนมีการรัฐประหาร(โดยคณะปฏิวัติ)ในปลายปี (เดือนพฤศจิกายน) พ.ศ. ๒๕๑๕ ท่านผู้อ่าน คงจะจำได้ว่า ในขณะนั้น เรามีรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นทหาร ซึ่งปรากฎว่า ในการเสนอกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณซึ่งรัฐบาลต้องให้สภาผู้แทนราษฎร ให้ความ เห็นชอบในแต่ละปี รัฐบาลจะต้องเจรจาต่อรอง งบ ส.ส.(ที่ ส.ส.แต่ละคนจะได้รับ )ให้เป็นที่พอใจเสียก่อน มิฉะนั้นแล้ว งบประมาณของรัฐบาลก็จะไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร(และรัฐบาลต้องลาออก) ; จำนวนเงินของ งบ ส.ส.นี้ ส.ส.จะ ขอเพิ่มขึ้นทุก ๆปี ; และนอกเหนือไปจากนั้น ในการลงมติของสภาผุ้แทนราษฎร ในเรื่องสำคัญ ๆ ของรัฐบาลแต่ละครั้ง ก็จะเป็นข่าวปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ เกี่ยวกับการแจก ซองขาวในห้องน้ำของสภาผู้แทนราษฎร
ดังนั้น ในการร่างรัฐูธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๑๗ จึงได้มี นักวิชาการจำนวนหนึ่ง คิดเอา ระบบพรรคการเมืองมา กำกับการทำงานของ ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยการบังคับให้ส.ส.ต้องสังกัดพรรค เพื่อที่รัฐบาลจะได้ต่อรองกับ ส.ส. อย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อน (แทนการซื้อเสียง ส.ส.ในการลงคะแนนในสภาผู้แทนราษฎรเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม) ; แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะแรก( รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๑๗)นั้น ยังอาจถือไม่ได้ว่า เป็น ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองโดยสมบูรณ์แบบ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๑๗ ยอมให้ ส.ส.ย้ายพรรคการเมืองได้ภายใน ๖๐ วันในกรณีที่พรรคการเมืองเดิมมี มติให้ ส.ส.พ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง
ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมือง( ที่สมบูรณ์แบบ) เกิดขึ้นโดยบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๒๑ และ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔ ( ฉบับก่อนมีการแก้ไขเพิ่มเติม หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ) โดยความคิดทางวิชาการของนักวิชาการในขณะนั้น(พ.ศ. ๒๕๒๑) ได้เปลี่ยนแปลงไปจากความคิดเดิม ; รัฐธรรมนูญพ.ศ. ๒๕๒๑ และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้สร้างระบบเผด็จการโดยพรรคการเมือง โดยบังคับให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรคการเมือง และพร้อมกันนั้น ได้กำหนดให้พรรคการเมืองมีอำนาจมากขึ้นในการควบคุม ส.ส.ในสังกัดพรรค ซึ่งผู้เขียนคิดว่า นักวิชาการ(ที่ร่างรัฐธรรมนูญนี้ )สามารถคาดหมายได้ล่วงหน้าว่า หากนักการเมืองที่มาจากการปฏิวัติ(ทหาร) จะ เป็นรัฐบาลต่อไป (หลังจากการปฏิวัติและมีการเลือกตั้งแล้ว ) ก็คงจะต้องมีการจัดตั้งพรรคการเมือง (ที่อยู่ในความครอบงำของนักการเมืองที่เป็นพันธมิตรของทหาร) และร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล เพราะ pattern ทางการเมืองเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เคยปฏิบัติมาแล้ว
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๒๑ และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้ให้ อำนาจแก่พรรคการเมืองมากขึ้น คือ ให้พรรคการเมืองสามารถมีมติให้ ส.ส. พ้นจากสมาชิกของพรรคการเมือง ซึ่งมีผลทำให้สมาชิกภาพของ ส.ส.สิ้นสุดลงทันทีที่พรรคมีมติ โดย ส.ส.ไม่มีสิทธิย้ายพรรคการเมืองภายใน ๖๐ วัน ( ตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๑๗ ได้เคยให้โอกาสไว้) และมาตรการนี้ เป็น มาตรการที่ออกนอกกรอบของหลักการของระบอบประชาธิปไตยอย่างชัดแจ้ง (และเป็นประเทศเดียวในโลก)
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๒๑ และ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔) ถูกยกร่างขึ้นโดยคณะกรรมาธิการฯ ที่แต่งตั้งขึ้นโดย สภานิติบัญญัติแห่งชาติหลังการปฏิวัติ ; ยกเว้น รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๑๗ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ได้ยกร่างโดยคณะกรรมาธิการฯ ที่แต่งตั้งโดย สภานิติบัญญัติแห่งชาติหลังการปฏิวัติ เช่นเดียวกัน แต่ได้มีการเปลี่ยนสมาชิกของสภานิติบัญญัติแห่งชาติใหม่ทั้งชุด(โดยสมาชิกของสภาสนามม้า) หลัง เหตการณ์ วันที่ ๑๔
ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๖ [หมายเหตุ :โปรดดู การเปลี่ยนแปลง ตัวบทรัฐธรรมนูญ ฉบับต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นได้ จาก เอกสารวิชาการ หมายเลข ๑ ส่วนที่ ๑.๒ ว่าด้วย วิวัฒนาการของรัฐธรรมนูญไทย ไปสู่ ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองของนักธุรกิจนายทุน ใน หนังสือที่จัดพิมพ์โดย สถาบันพระปกเกล้า ดังกล่าวข้างต้น ]
จะเห็นได้ว่า ด้วย ความไม่รอบรู้และ ความไม่รอบคอบของนักวิชาการ ที่เขียนรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ปัญหาความทุจริตคอร์รัปชั่นและการแสวงหาประโยชน์ ของ ส.ส.ที่เกิดขึ้นก่อนการปฎิวัติ พ.ศ. ๒๕๑๕ (ซึ่งในปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๕๐นี้ ก็ยังแก้ไม่ได้) ได้นำไปสู่การสร้าง ระบบเผด็จการในระบบรัฐสภาโดยพรรคการเมือง ซึ่งในที่สุด ได้ก่อให้เกิดผลเสียแก่ประเทศ และเป็นต้นเหตุของการทุจริตคอร์รับชั่น(อย่างร้ายแรง)ต่อเนื่องกันมาจนถึงขณะนี้ (ที่กำลังจะมีการเลือกตั้ง วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐)
ผู้เขียนเห็นว่า ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองที่เริ่มก่อตัวขึ้นด้วยการบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรค โดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๑๗ และได้กลายเป็น ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมือง(สมบูรณ์แบบ)ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๑) นั้น นอกจากจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศในทางกายภาพ (physically) ที่เป็นทรัพยากรและเงินงบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนมากแล้ว ยังสร้างความเข้าใจผิดในหลักการของระบอบประชาธิปไตยให้แก่คนไทยและทำความเสียหายให้แก่ระบบเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความเสียหายทางสังคม (socially)ของสังคมไทยอย่างร้ายแรง อีกด้วย
การที่พรรคการเมืองของนายทุนธุรกิจต่างมุ่งหมายที่จะให้จำนวน ส.ส.ในสังกัดพรรคการเมืองของตน มีจำนวนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ (เพื่อหวังเข้ายึดครอง อำนาจรัฐในระบบรัฐสภา) นายทุนธุรกิจเหล่านี้ย่อมกระทำ โดยทุก ๆ วิธีการเพื่อให้บรรลุจุดหมาย ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ; สิ่งที่ตามมา ก็คือ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จะเคยชินต่อ การซื้อขายเสียง / ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีศักยภาพ จะเคยชินต่อการได้รับ เงินตอบแทนในการเลือกพรรคการเมืองที่ตนจะอยู่ในสังกัด / ผู้ที่เป็น ส.ส. จะเห็นว่าการได้รับ เงินช่วยเหลือเป็นรายเดือนจากพรรคการเมือง เป็นสิ่งที่เป็นปกติ / ทั้งนี้ โดยไม่กล่าวถึง ผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่น เช่น การให้ตำแหน่งหน้าที่ในทางราชการและตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจ การให้สิทธิพิเศษในการทำสัญญากับทางราชการ ฯลฯ ; สิ่งเหล่านี้ คือ ความเลวร้าย - vice ที่เกิดจากการที่รัฐธรรมนูญได้สร้างระบบเผด็จการโดยพรรคการเมือง โดยการบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรคและกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.
ในขณะที่มีการร่างรัฐธรรมนูญเหล่านี้ ผู้เขียนได้เคยมีโอกาสครั้งหนึ่ง (ในขณะการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๒๑) ผู้เขียนในฐานะที่เป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ได้เคยทักท้วงใว้ว่า การเขียนบทบัญญัติเช่นนี้จะมีผลเสียมากกว่าผลดี และมี วิธีการอื่นที่ดีกว่า แต่ข้อทักท้วงของผู้เขียนมิได้รับการรับฟัง
เหตุผล ที่นักวิชาการอ้างกันในขณะนั้น(พ.ศ. ๒๕๒๑ และอ้างกันอยู่ในขณะนี้(พ.ศ. ๒๕๕๐ ๒๕๕๑) ก็คือ ถ้าไม่บังคับให้ ส.ส. สังกัดพรรคการเมือง รัฐบาลจะไม่มีเสถียรภาพ เพราะ ส.ส.จะขายเสียง ในสภา ; ผู้เขียนเห็นว่า เราสามารถเขียนรัฐธรรมนูญให้รัฐบาล มีเสถียรภาพได้ โดยไม่ต้องบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรค ถ้าเราศึกษาและมีความรู้พอ และประเทศที่พัฒนาแล้วก็ได้แสดง แนวทางในการแก้ไขปัญหานี้ให้เราได้เห็นแล้วในระยะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (rationalized systems)
(จาก)ระบบเผด็จการทหาร ที่ได้อำนาจรัฐมาด้วยการรัฐประหาร - (มาสู่)ระบบเผด็จการนายทุนธุรกิจ ที่ได้อำนาจรัฐ มาด้วยการเลือกตั้ง(ที่ต้องใช้เงิน): พฤษภาทมิฬ เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เราเปลี่ยนแปลง จาก ระบบเผด็จการทหาร มาสู่ ระบบเผด็จการนายทุนธุรกิจ
ใน พ.ศ. ๒๕๓๕ หลังเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ปรากฎว่า ได้มีนักวิชาการจำนวนมากในวงการมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ออกมาเรียกร้องให้เขียนบทบัญญัติใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้น เพื่อแสดง ความเป็นประชาธิปไตย
นักวิชาการเหล่านี้ มองไม่เห็น ความผิดปกติของบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ที่บังคับให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรค และการให้อำนาจแก่พรรคการเมืองในการผูกขาดอำนาจรัฐและสามารถบังคับมติของ ส.ส.ได้ และนักวิชาการเหล่านี้ มองไม่เห็น ความสำคัญ"ของสภาพสังคมในทางสังคมวิทยาที่มีผลต่อการเลือกตั้ง (การเลือกตั้ง ภายใต้สภาพสังคมไทยที่อ่อนแอและความพิกลพิการของระบบบริหาร) ซึ่งตรงกันข้าม กับนักการเมือง(ที่มาจากการเลือกตั้ง)
ผู้เขียนเห็นว่า นักการเมือง นายทุนธุรกิจระดับท้องถิ่น(ที่มาจากการเลือกตั้ง) รู้ เรื่อง(การเลือกตั้งกับสภาพสังคม) ดีกว่าและฉลาดกว่า นักวิชาการแบบไทย ๆ และนักการเมือง นายทุนธุรกิจระดับท้องถิ่นเหล่านี้ฉวยเอาประโยชน์จาก ความไม่รู้ของนักวิชาการ
ก็ในเมื่อนักกฎหมายในวงการวิชาการกฎหมาย ได้ให้ บริการแก่นักการเมือง(ทหาร)ที่มาจากการปฏิวัติ ด้วยการสร้าง ระบบเผด็จการในระบบรัฐสภาโดยพรรคการเมือง ไว้สำหรับพรรคการเมืองที่เป็นพันธมิตรกับทหาร (มาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๒๑ จนถึงรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔) แล้ว ดังนั้น เมื่อ ทหารจำเป็นต้องถอนตัวออกจากการเมืองเพราะเหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคม ก็ไม่ยากอะไร ที่จะทำให้ ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมือง(สมบูรณ์แบบ)นั้น เป็นระบบเผด็จการของ นายทุนที่ลงทุน ตั้งพรรคการเมือง ; ซึ่งก็ เพียงแต่เติมบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔ เพียงมาตราเดียวว่า นายกรัฐมนตรี ต้องมาจาก ส.ส. เพียงเท่านี้ อำนาจรัฐ (ซึ่งเป็นระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองอยู่แล้ว) ก็จะเป็นของนายทุนเจ้าของพรรค (ที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง)ในทันที
ด้วยเหตุนี้ หลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ บรรดาพรรคการเมืองในขณะนั้น (ไม่ว่าจะเป็น พรรคเทพ หรือ พรรคมาร ) จึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เพื่อความเป็นประชาธิปไตย ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยบัญญัติว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.
อันที่จริง หลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เรา(คนไทย)มีเวลาที่จะทบทวนข้อบกพร่องของ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔ อยู่ระยะหนึ่ง ; เราคงจำได้ว่า ในขณะที่สังคมไทยยังมีความหวั่นไหวอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม เรา(คนไทย)ก็บังเอิญได้นายกรัฐมนตรี(พระราชทาน)และคณะรัฐมนตรีที่เป็นบุคคลที่เป็นกลาง เข้ามาบริหารประเทศอยู่ชั่วระยะหนึ่งประมาณ ๓ เดือนเศษ ; ซึ่งในระหว่างนี้ ถ้าเราคิดจะปฏิรูปการเมืองก็คงสามารถทำได้
และในช่วงเวลานี้ ผู้เขียนได้เขียนบทความบทหนึ่งขอให้ คณะรัฐบาลในขณะนั้น ทำการวิจัยรูปแบบ form of government ที่ใช้อยู่ในรัฐธรรมนูญของไทย และทำการ ปฏิรูปการเมือง ก่อนที่จะกลับเข้าสู่ระบบการบริหารใน ระบบรัฐสภาแบบเดิม ๆ ; แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า ข้อเรียกร้องของผู้เขียนไม่ได้รับการพิจารณา ; และผู้เขียนคิดว่า ประเทศไทยได้สูญเสีย โอกาสที่จะปฏิรูปการเมือง (ด้วยเหตุด้วยผลในทางวิชาการ)ไปอีกครั้งหนึ่ง เหมือนกับที่เราได้เคยได้สูญเสียโอกาสเช่นนี้ในอดีตมาแล้ว ๒ ๓ ครั้ง หลังจากที่มี เหตุการณ์ที่ทำให้เราได้มีนายกรัฐมนตรีที่เป็นบุคคลที่เป็นกลาง คือ ไม่ใช่ทั้งบุคคลที่ได้อำนาจรัฐมาจากการรัฐประหาร และในขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่ นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่ต้องลงทุน; แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้น คงจะโทษผู้ใดไม่ได้ นอกจาก ความโชคร้ายของประเทศไทย
[หมายเหตุ แต่ไม่ว่าใครก็ตาม ที่คิดจะ ปฏิรูปการเมือง คงจะต้องชี้แจงให้ประชาชนทั่วไป เข้าใจให้ได้ว่า เพราะเหตุใด จึงต้องมี การปฏิรูปการเมือง และรูปแบบ form of government ของ ระบบรัฐสภา- parliamentary systemแบบเดิม ๆ ที่เราใช้อยู่ในรัฐธรรมนูญ(ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนี้) มีข้อบกพร่องอย่างไร ; การบังคับให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรคการเมือง เป็นบทบัญญัติที่ออกนอกกรอบของ หลักการของระบอบประชาธิปไตย อย่างไร และหากไม่มีการปฏิรูปการเมืองแล้ว ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมือง (นายทุนธุรกิจ) จะก่อให้เกิดปัญหาการเมืองในอนาคตและก่อให้เกิดความเสียหายได้อย่างไร ตลอดจนต้องอธิบายให้ได้ว่า รุปแบบ form of governmentตามข้อเสนอใหม่ในการปฏิรูปการเมืองนั้น ดีอย่างไ รและจะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตาม จุดหมายของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (อย่างมีประสิทธิภาพ) ได้อย่างไร]
ในที่สุด ในเดือนกันยายน (วันที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๓๕ หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬประมาณ ๓เดือนเศษ ก็ได้มีการแก้ไขบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔ (มาตรา ๑๕๗) กำหนดให้ นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(เท่านั้น) โดย รธน. แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔ ) พ.ศ. ๒๕๓๕ หลังจากที่รัฐบาล(พระราชทาน)ได้ยุบสภา และกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ (ในวันที่ ๑๓ กันยายน)
ผลในที่สุด ก็คือ นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๕ (เดือนกันยายน) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔ ที่นักวิชาการ(จำนวนหนึ่ง) ตั้งใจจะสร้าง ระบบเผด็จการในระบบรัฐสภาโดยพรรคการเมืองไว้สำหรับทหาร โดยให้พรรคการเมือง (ที่เป็นพันธมิตรของทหาร) จัดตั้งรัฐบาลร่วมกับทหาร ก็กลายเป็นว่า นักวิชาการนั้นได้สร้าง ระบบเผด็จการในระบบรัฐสภาโดยพรรคการเมือง ให้แก่ นายทุนธุรกิจ ระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองและ ครอบงำพรรคการเมืองต่าง ๆอยู่ในขณะนั้น (พ.ศ. ๒๕๓๔)
รูปแบบการปกครอง - form of government ตามรัฐธรรมนูญของเรา (คนไทย) ก็เปลี่ยน ระบบเผด็จการในระบบรัฐสภาโดยพรรคการเมือง จากระบบเผด็จการ - ทหาร ที่ได้มาอำนาจรัฐมาด้วยการรัฐประหาร มาสู่ระบบเผด็จการ - นายทุนธุรกิจ ที่ได้อำนาจรัฐ มาด้วยการเลือกตั้ง(ที่ต้องใช้เงิน)
และเรา (คนไทยทั้งประเทศ) เรียก ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมือง นี้ว่า เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ทั้งนี้ ตามที่ นักธุรกิจนายทุน(ทั้งระดับท้องถิ่น และระดับชาติ)ที่ลงทุนในพรรคการเมืองที่ผูกขาดอำนาจรัฐ และ นักวิชาการแบบไทย ๆ ที่ให้บริการแก่นักการเมือง(ทั้งนักการเมืองที่ได้อำนาจรัฐมาด้วยการรัฐประหารและนักการเมืองที่ได้อำนาจรัฐมาด้วยการเลือกตั้ง) สอนให้เราเรียกเช่นนั้น
(วันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ผู้เขียนยังเขียนไม่จบ)
อ่านต่อ
หน้า 22
หน้า 23
หน้า24
หน้า 25
หน้า26
หน้า 27
หน้า28
หน้า 29
|
|
|
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=1175
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 23:19 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|