|
|
ครั้งที่ 88 15 ธันวาคม 2547 13:54 น.
|
"ประเด็นเรื่องเงินเดือนของข้าราชการประเภทต่าง ๆ "
เมื่อวันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม 2547 ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ฟังคำกล่าวของ ท่านผู้นำ ในรายการ นายกฯทักษิณ คุยกับประชาชน ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับผมที่ฟังรายการนี้นะครับ ผมฟังมานานพอสมควรแล้ว และทุกครั้งที่มีโอกาสก็มักจะเล่าให้เพื่อน ๆ ต่างชาติฟังอย่างภาคภูมิใจว่า ท่านผู้นำ ของเรานี่ดีเหลือเกิน อุตส่าห์มานั่งรายงานภารกิจต่าง ๆ ที่ไปทำมาในรอบสัปดาห์ให้ประชาชนทราบ ทำให้ประชาชนได้รับรู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้างในประเทศของเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนชาวไทยทั้งในต่างจังหวัดและต่างประเทศที่อาจ พลาด ข่าวสารสำคัญบางข่าวไป ฟัง ท่านผู้นำ ของเราทุกเช้าวันเสาร์ก็จะทราบได้อย่างไม่ตกหล่นเลยว่า ท่านผู้นำ และคณะรัฐมนตรีทำอะไรกันไปบ้างครับ ฟังแล้วก็รู้สึก ปิติยินดี เป็นอย่างนิ่งครับ เพราะสิ่งที่ ท่านผู้นำ นำมาเล่าให้เราฟังนั้นส่วนมากจะเป็น ข่าวดี ส่วนที่ ไม่ดี นั้น ท่านผู้นำ ก็ ปลอบใจ ประชาชนด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่ทำให้เกิด ความหวัง ว่าสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว หรือไม่ก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดีครับ สรุปง่าย ๆ ก็คือ รายการ พูดฝ่ายเดียว ของ ท่านผู้นำ เป็นสิ่งที่ประชาชนคนไทยควรให้ความสนใจและติดตามเป็นอย่างยิ่งเพราะจะทำให้เราทราบถึงข่าวคราวสำคัญ ในทรรศนะ ของ ท่านผู้นำ ได้เป็นอย่างดีครับ
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อผมได้ฟังรายการ พูดฝ่ายเดียว ของ ท่านผู้นำ เมื่อวันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ผมก็มีความรู้สึกแปลก ๆ หลายอย่าง ทั้งโกรธ ทั้งโมโห ทั้งเสียใจครับ ผมคงไม่นั่งบรรยาย ณ ที่นี้ครับ แต่จะขอ คัด คำกล่าวของ ท่านผู้นำ เฉพาะส่วนนี้มาจาก www.thaigov.go.th ในหมวด สุนทรพจน์/คำกล่าว หัวข้อ 31 กรกฎาคม 2547 คำกล่าวของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในรายการ นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน และในหัวข้อย่อย คือ ศึกษาการเก็บภาษีคนที่เสียเงินทำลายสุขภาพตัวเอง ครับ คำกล่าวในส่วนนี้มีรายละเอียด ดังนี้ ศึกษาการเก็บภาษีคนที่เสียเงินทำลายสุขภาพตัวเอง ทีนี้เกิดความคิดว่าถ้าเราจะเอาภาษีของคนที่เสียเงินทำลายสุขภาพตัวเอง คือภาษีบุหรี่ เหล้า เบียร์ เอามารวมกันไว้ไม่ต้องเข้างบประมาณ ภาษีนี้เอามาใช้สำหรับการสร้างสุขภาพ การรักษาสุขภาพให้กับพี่น้องประชาชน หมายความว่าเอางานด้านสาธารณสุขมารวมกันเพื่อจะใช้งบประมาณส่วนนี้ไม่ต้องไปยุ่งกับใคร คนที่เสียเงินทำลายสุขภาพตัวเองถูกเก็บภาษี เมื่อทำลายสุขภาพตัวเองก็เป็นภาระของรัฐที่ต้องรักษา เพราะฉะนั้น เอาเงินภาษีนี้มาเก็บกองไว้ และเอามาใช้สำหรับรักษาสุขภาพถ้าจะดี จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรีสุชาติ เชาว์วิศิษฐ ไปศึกษา เพื่อให้ค่าตอบแทนคนทำงานสมเหตุสมผล ไม่อย่างนั้นแพทย์รัฐบาลกับแพทย์เอกชนเงินเดือนต่างกับเยอะมาก และโครงสร้างเงินเดือนเพี้ยนไป คนจบกฎหมายไปเป็นผู้พิพากษา อัยการ เงินเดือนสูงกว่าคนจบแพทย์ ซึ่งเป็นคนหัวดีเรียนหนังสือหนัก อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันว่าจะแก้ไขอย่างไร เรื่องนี้ยังเป็นความคิดอยู่ที่มอบให้ไปศึกษา ถ้าลงตัวอย่างนั้นระบบสาธารณสุขจะเข้มแข็งมาก
ผมได้ตีเส้นข้อความที่เป็นประเด็นที่ผมประสงค์จะนำมากล่าวถึง ณ ที่นี้เอาไว้ด้วยแล้วครับ จริง ๆ แล้วปัญหาเรื่องเงินเดือนของเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทต่าง ๆ นี้มันมีอยู่มานานมากแล้ว และก็มีอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดมา แม้ว่ารัฐบาลหลาย ๆ รัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหาแต่ก็ไม่สำเร็จ ที่ทำได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องใช้สมองมาคิดให้เสียเวลา ก็คือ ขึ้นเงินเดือนกันเข้าไป พวกไหนโวยวายมากพวกนั้นก็ได้ขึ้นเงินเดือน หน่วยงานตั้งใหม่หลาย ๆ หน่วยงานก็พยายามที่จะ กำหนด เงินเดือนของตนเองให้สูงกว่าที่อื่น ๆ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าจากในอดีตที่มีเพียงเฉพาะผู้พิพากษาศาลยุติธรรมที่มีเงินเดือนสูงกว่าข้าราชการประเภทอื่น จะกลายมาเป็นในปัจจุบันที่ทั้งอัยการ ตุลาการศาลปกครอง และหน่วยงานใหม่ ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ฯลฯ ที่ต่างก็มีเงินเดือนสูงมากกันทั้งนั้น และนอกจากเงินเดือนจะสูงแล้ว บางแห่งก็ยังมีการให้ เฟอร์นิเจอร์ ประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็นรถ โทรศัพท์ ฯลฯ รวมความเป็นว่าประโยชน์ทั้งหลายที่ได้รับต้องสูงไว้ก่อนครับ
ปัญหาเรื่องเงินเดือนที่ผมนำมาพูด ณ ที่นี้ ผมคงไม่มีจุดประสงค์สำคัญอะไรมากนัก เพราะเท่าที่ผม รู้สึก อยู่เสมอตลอดเวลาที่ผ่านมาก็คือ เพราะ เงินเดือน นี่เองที่ทำให้เกิดการ ถ่ายเท กันในหมู่ข้าราชการ ที่ไหนเงินเดือนมากก็อยากไปที่นั่น บางคนเสนอตัวไปแล้วไม่ได้รับการคัดเลือกก็ยังอุตสาห์เสนอตัวเข้าไปอีกหลายต่อหลายรอบ เพื่อที่จะได้เข้าไปรับ เงินเดือน จำนวนมาก ๆ ทั้งที่ตนเองมีปัญหาเรื่อง ความสามารถ ครับ!!! ท่านผู้นำคงต้อง ทบทวน สิ่งที่ท่านคิดอยู่เสียใหม่ ตราบใดที่ ท่านผู้นำ ยังใช้วิธีที่จะขึ้นเงินเดือนแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่ ตรวจสอบ หรือให้ความสำคัญกับ การประเมินผลงาน ว่า สัมพันธ์ กับเงินเดือนที่รับไปหรือไม่ ประเทศชาติก็จะเสียประโยชน์ครับ!!!
ผมพูดเรื่องเงินเดือนไปเสียเยอะแยะ จนอาจทำให้ผู้อ่าน หลงประเด็นกันไปบ้าง จริงๆแล้วผม ติดใจ คำกล่าวของ ท่านผู้นำ เฉพาะในส่วนที่ผมตีเส้นไว้ต่างหาก แล้วก็เฉพาะในส่วนที่ว่า คนจบกฎหมายไปเป็นผู้พิพากษา อัยการ เงินเดือนสูงกว่าคนจบแพทย์ซึ่งเป็นคนหัวดี เรียนหนังสือหนัก ไม่ทราบว่า ท่านผู้นำ ต้องการ สื่อ ถึงอะไรกันแน่ครับ แต่ละวิชาชีพต่างก็มีความชำนาญเป็นของตัวเองนะครับ เด็กบางคนตั้งใจเข้าเรียนคณะนิติศาสตร์ทันทีที่จบมัธยมปลายก็มี และไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เด็กเหล่านี้ไม่ใช่คนหัวดีครับ ในคณะนิติศาสตร์ ผมเห็นเด็กหัวดีจำนวนมากแล้วก็เรียนหนังสือหนักมากด้วยครับ ปัญหาคงไม่ใช่คนหัวดีเรียนหนังสือหนักที่จะได้เงินเดือนมาก น่าจะเป็นการประกอบวิชาชีพมากกว่าที่ควรนำมาเป็นเกณฑ์ ถามจริง ๆ เถอะครับว่า หากหัวดีแล้วเรียนหนังสือหนัก แต่ทำงานไม่ได้เรื่อง ท่านผู้นำยังจะให้เงินเดือนสูง ๆ อยู่ไหมครับ !!!
ผมขอ ประท้วง คำกล่าวของ ท่านผู้นำ ข้างต้นนะครับ ในฐานะ นักกฎหมาย และในฐานะ ข้าราชการ คนหนึ่งที่ตั้งใจประกอบวิชาชีพของตนอย่างดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คำกล่าวของท่านผู้นำ มีผลกระทบในเชิงลบต่อสถาบันนักกฎหมายของผมเป็นอย่างมากครับ!!!
กลับมาเรื่องวิชาการของเราดีกว่านะครับ เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาผมได้รับทำงานวิจัยชิ้นหนึ่งให้กับคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ทำอยู่หลายปีก็เพราะเป็นงานวิจัย พิเศษ ที่คณะกรรมการพัฒนากฎหมายตั้งใจว่าจะให้เป็น งานวิจัยตามมาตรฐานงานวิจัยสากลครับ ปัจจุบันงานวิจัยนี้เพิ่งจะเสร็จเรียบร้อย และได้มีการนำเสนอรายงานการวิจัยเรื่องนี้ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปเมื่อวันอังคารที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้เองครับ งานวิจัยเรื่องนี้มีชื่อว่า การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ครับ เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงานวิจัยของผม ผมจึงได้ขออนุญาตต่อเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อนำบทสรุปของงานวิจัย และ ร่างพระราชบัญญัติการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ซึ่งเป็น จุดเด่น ของงานวิจัยลงเผยแพร่ใน website แห่งนี้ และได้รับอนุญาตให้ลงเผยแพร่ได้แล้ว ดังนั้น บทความทางวิชาการในครั้งนี้ก็คือ รายงานสรุปผลการศึกษาวิจัยเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่ผมขอนำเสนอพร้อมทั้งร่างกฎหมายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจครับ มีความเห็นอย่างไรลองวิจารณ์กันดูนะครับ ขอชี้แจงไว้สักนิดหนึ่งว่า ทุกร่างมาตรามีความเชื่อมโยงกันและมี เจตนารมณ์ พิเศษอยู่ภายใน ฉะนั้น นักลอก ทั้งหลายหากจะ ลอก เอาไปใช้ หรือนำไป ดัดแปลง ก็จะต้องตอบคำถามให้ได้ว่า เจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของร่างกฎหมายทั้งฉบับ หรือของร่างกฎหมายแต่ละมาตราเป็นเช่นไรครับ !!!
พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม 2547 ครับ
รองศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์
|
|
|
พิมพ์จาก http://public-law.net/view.aspx?ID=105
เวลา 22 พฤศจิกายน 2567 20:06 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)
|